โรคดื้อต่อต้าน (Oppositional Defiant Disorder) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
โรคดื้อต่อต้าน

โรคดื้อต่อต้าน (Oppositinoal Defiant Disorder :ODD)  เป็นความผิดปกติที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมเกิดอาการต่อต้านและอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่าย ซึ่งมักส่งผลต่อการทำงาน การศึกษาและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น

แม้แต่เด็กที่เชื่อฟังมากก็ยังมีโอกาสเกิดอารมณ์ขุ่นมัวและดื้อบ้างเป็นครั้งคราว แต่รูปแบบการแสดงความโกรธ การต่อต้านและความกร้าวร้าวต่อผู้ใหญ่อาจเป็นสัญญาณของโรคดื้อและต่อต้านได้

โรคดื้อต่อต้านพบในเด็กวัยเรียนประมาณ 1 ถึง 16%  พบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง เด็กหลายคนเริ่มแสดงอาการโรคดื้อและต่อต้านระหว่างอายุ 6 ถึง 8 ปี โรคดื้อและต่อต้านยังมีโอกาสพบผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคดื้อและต่อต้านอาจไม่พบว่ามีอาการในวัยเด็กได้

สาเหตุของโรคดื้อและต่อต้าน

ไม่มีสาเหตุของโรคดื้อและต่อต้านที่ชัดเจน แต่มีทฤษฎีว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางชีวภาพ และจิตวิทยาเมื่อร่วมกันอาจก่อให้เกิดโรคนี้ได้ อย่างกรณีของครอบครัวที่มีประวัติของโรคสมาธิสั้น (ADHD) มักมีโอกาสเป็นโรคดื้อและต่อต้านได้

ทฤษฎีหนึ่งระบุว่าโรคดื้อและต่อต้านจะเริ่มพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นเด็กแบเบาะ พบว่าเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็นโรคดื้อต่อต้านยังมีพฤติกรรมปกติในช่วงวัยแบเบาะ ทฤษฎีนี้ยังเชื่อว่าเด็กหรือวัยรุ่นคือช่วงวัยที่กำลังต้องการเป็นอิสระจากผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ จึงมีแนวโน้มที่จะใช้อารมณ์มากขึ้น และจะมีภาวะต่อต้าน หลายคนเลยเรียกว่าเป็นวัยต่อต้าน

นอกจากนี้เป็นไปได้ว่าภาวะต่อต้านเป็นพฤติกรรมที่ได้จากการเรียนรู้ สะท้อนว่าการเลี้ยงดูที่ผิดวิธีของผู้ปกครองจะส่งผลต่อเด็ก เด็กอาจใช้พฤติกรรมที่ไม่ดีเรียกร้องความสนใจ และรับพฤติกรรมเชิงลบมาจากผู้ปกครอง

สาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ ได้แก่ :

  • อุปนิสัยส่วนตัว เช่น เป็นคนเอาแต่ใจ

  • ขาดความผูกพันที่ดีกับผู้ปกครอง

  • ความเครียด หรือเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ หรือเหตุการณ์ใด ๆ ในชีวิตประจำวัน

อาการของโรคดื้อและต่อต้าน

อาการในเด็กและวัยรุ่น

โรคดื้อและต่อต้านมักส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นมากที่สุด อาการของโรคดื้อและต่อต้านมีดังนี้ :

  • ฉุนเฉียวง่าย หรือโกรธได้บ่อย ๆ

  • มีอาการต่อต้านคำสั่งของผู้ใหญ่

  • ชอบโต้เถียงผู้ใหญ่และผู้มีอาวุโสมากกว่า

  • ชอบตั้งคำถามหรือหาทางหลีกเลี่ยงกฎระเบียบต่าง ๆ

  • มีพฤติกรรมชอบยุ่วยุให้ผู็อื่นอารมณ์เสีย หรือรำคาญ

  • ชอบกล่าวโทษผู้อื่นในข้อผิดพลาด หรือการประพฤติที่ไม่ถูกต้องของตนเอง

  • หงุดหงิดรำคาญง่าย

  • รู้สึกอาฆาต โกรธแค้น

การมีอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถวินิจฉัยว่าเป็นโรคดื้อและต่อต้าน แต่ต้องมีอาการหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน

อาการในผู้ใหญ่

อาการโรคดื้อและต่อต้านในเด็กและผู้ใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน ดังมีรายละเอียด ดังนี้ :

  • รู้สึกโกรธเกลียดโลก

  • รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือโกรธเกลียดผู้คน

  • ต่อต้านผู้มีอำนาจมากกว่า อย่างหัวหน้างานในที่ทำงาน

  • รู้สึกต่อต้านสังคม

  • ปิดกั้นตัวเองด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น

  • พาลเอาแต่โทษผู้อื่น

ความผิดปกติในในผู้ใหญ่มักวินิจฉัยได้ยาก เพราะมีพฤติกรรมทางอารมณ์ที่หลากหลาย และหลายพฤติกรรมยังเป็นผลจากสารเสพติด และความผิดปกติอื่น ๆ

การรักษาโรคดื้อและต่อต้าน

เกณฑ์ที่ใช้วินิจฉัยความผิดปกติของผู้ป่วย :

เอกสารคู่มือการวินิจฉัยและวัดสถิติความผิดปกติทางจิต ที่เรียกว่า DSM-5 ได้สรุปปัจจัยหลัก 3 ประการที่ต้องใช้เพื่อวินิจฉัยโรคดื้อและต่อต้าน:

1. แสดงรูปแบบพฤติกรรม: พิจารณารูปแบบของอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ ทั้งอารมณ์โกรธ หงุดหงิด วิธีการโต้เถียง หรือการโต้เถียง ใช้เวลาวินิจฉัยประมาณ 6 เดือน ในช่วงเวลานี้ต้องสังเกตุพฤติกรรม อย่างน้อย 4 รายการจากรูปแบบที่ระบุ เป็นการแสดงพฤติกรรมกับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติมิตร ได้แก่ :

การแสดงอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิด ได้แก่:

  • อารมณ์เสียบ่อย

  • ขี้งอน

  • ขี้รำคาญ

  • โกรธหรือไม่พอใจอะไรง่าย ๆ

พฤติกรรมต่อต้าน หรือยั่วยุต่าง ๆ ได้แก่:

  • ขึ้นเสียงกับผู้มีบังคับบัญชาหรือผู้ปกครองบ่อย ๆ

  • ไม่ยอมทำตามคำขอของผู้มีอำนาจ

  • ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำขอของผู้มีอำนาจ

  • จงใจสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น

  • กล่าวโทษผู้อื่นเวลากระทำผิด

  • ความอาฆาต มาดร้าย

การแสดงความอาฆาตแค้นอย่างน้อย 2 ครั้งในรอบ 6 เดือน

2. พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายทำลายต่อชีวิต: พฤติกรรมต่อมาที่ใช้วินิจฉัยคือพฤติกรรมในด้านลบต่าง ๆ นั้นส่งผลให้เกิดผลเสียกับบุคคลอื่น ๆ หรือผู้คนในสังคมที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ผู้ป่วยโรคดื้อและต่อต้านอาจมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิต ทั้งรูปแบบการใช้ชีวิต การเข้าสังคม การศึกษา หรืออาชีพการงานได้

3. ความเชื่อมโยงกับการใช้สารเสพติดหรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ : แพทย์จะไม่สามารถวินิจฉัยพฤติกรรมของผู้ป่วยได้ หากมีปัจจัยร่วม ได้แก่:

Oppositional Defiant Disorder

ระดับความรุนแรงของโรคดื้อและต่อต้าน

DSM-5 แบ่งระดับความรุนแรงของโรคดื้อและต่อต้านไว้ดังนี้:

  • ไม่รุนแรง: อาการมีจำกัด อาจมีเพียงอาการใดอาการหนึ่งเท่านั้น

  • ปานกลาง: อาการปรากฏอย่างน้อย 2 ลักษณะประกอบกัน

  • รุนแรง: อาการปรากฏอย่างน้อย 3 ลักษณะประกอบกัน

แนวทางการรักษาโรคดื้อและต่อต้าน

การรักษาในช่วงแรกนั้นสำคัญ และจำเป็นต่อวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่เป็นโรคดื้อและต่อต้านมาก เพราะหากไม่รักษาจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า และการใช้สารเสพติดได้

ตัวเลือกที่แพทย์ใช้ในการรักษา ได้แก่ :

การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญาส่วนบุคคล

  • แนวทางการจัดการความโกรธ

  • ทักษะด้านการสื่อสาร

  • การควบคุมสิ่งกระตุ้น

  • ทักษะการรับมือกับปัญหา

แพทย์จะเริ่มจากการระบุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์

ครอบครัวบำบัด

นักจิตวิทยาจะทำงานร่วมกับทั้งครอบครัวเพื่อทำบำบัดอาการของโรค ผู้ปกครองจะได้เรียนรู้และสนับสนุนให้เข้าใจกลยุทธ์ในการจัดการกับโรคดื้อและต่อต้านของบุตรหลาน

การบำบัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก (PCIT)

นักบำบัดจะให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครอง เกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงดูลูกหลานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

กลุ่มบำบัด

การให้เด็กเรียนรู้วิธีพัฒนาทักษะทางสังคม และความสัมพันธ์ร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ

การรักษาด้วยยา

เป็นการรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคดื้อและต่อต้าน เช่นภาวะซึมเศร้า หรือสมาธิสั้น แต่ยังไม่มียาเฉพาะที่ใช้รักษา โรคดื้อและต่อต้าน

กลยุทธ์ในการจัดการโรคดื้อและต่อต้านที่ผู้ปกครองสามารถช่วยลูก ๆ เพิ่มเติมได้แก่:

  • เพิ่มความสัมพันธ์เชิงบวก และลดความสัมพันธ์เชิงลบ

  • กำหนดแนวทางลงโทษพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างเหมาะสม และทำอย่างสม่ำเสมอ

  • ใช้พฤติกรรมตอบสนองอาการของลูกที่สามารถคาดเดาได้ และทำในทันที

  • สร้างรูปแบบการเข้าสังคมเชิงบวกขึ้นในบ้าน

  • ลดสิ่งกระตุ้นด้านสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์ (ตัวอย่างเช่นพฤติกรรมก่อกวนของบุตรหลานอาจเพิ่มขึ้นเมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ ให้ผู้ปกครองตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขานอนหลับเพียงพอเพื่อแก้อาการ)

ผู้ใหญ่เป็นโรคดื้อและต่อต้านก็สามารถจัดการความผิดปกติได้โดย:

  • รู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำและพฤติกรรมของตนเอง

  • ใช้สติ และหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง

  • หากิจกรรมคลายเครียด เช่น การออกกำลังกาย

อย่างไรก็ตามการตอบสนองต่อแนวทางการรักษาโรคดื้อและต่อต้านในเด็กแต่ละคนอาจให้ผลที่แตกต่างกัน และผู้ปกครองไม่ใช่ผู้ที่ต้องร่วมรักษาอาการของเด็กเหล่านี้ แต่ครูที่โรงเรียนก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย ดังนี้:

  • ปรึกษาผู้ปกครองในการจัดการพฤติกรรมของเด็ก

  • สร้างความคาดหวัง และกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนให้เด็ก ๆ ทราบ

  • หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในห้องเรียน หรือแจ้งให้เด็ก ๆ ทราบก่อนเพื่อลดภาวะทางอารมณ์ของเด็ก

  • ฝึกให้เด็กรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง

  • พยายามสร้างความไว้วางใจกับนักเรียน ด้วยการสื่อสารที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ

ภาพรวมของโรคดื้อและต่อต้าน

Oppositional Defiant Disorder (โรคดื้อและต่อต้าน) คือความผิดปกติทางพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและวัยรุ่นเป็นหลัก ลักษณะนี้มีลักษณะเป็นพฤติกรรมเชิงลบ ไม่เป็นมิตร และท้าทายต่อผู้มีอำนาจ เช่น พ่อแม่ ครู และผู้ใหญ่คนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมนี้มักจะนอกเหนือไปจากการต่อต้านและการไม่เชื่อฟังตามปกติในวัยเด็ก ต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะและลักษณะสำคัญของโรคดื้อและต่อต้าน:
  • รูปแบบการท้าทายอย่างต่อเนื่อง: เด็กที่มี โรคดื้อและต่อต้าน แสดงรูปแบบพฤติกรรมท้าทาย ไม่เชื่อฟัง และไม่เป็นมิตรอย่างต่อเนื่อง พวกเขามักจะโต้เถียงกับผู้ใหญ่ ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการร้องขอ และจงใจรบกวนหรือยั่วยุผู้อื่น
  • ความหงุดหงิดและความโกรธ: อารมณ์ฉุนเฉียวหงุดหงิดและโกรธบ่อย ๆ เป็นเรื่องปกติในเด็กที่มี โรคดื้อและต่อต้าน พวกเขาอาจจะหงุดหงิดง่ายและมักจะอารมณ์เสีย
  • ความพยาบาท: เด็กบางคนที่มี โรคดื้อและต่อต้าน อาจมีพฤติกรรมพยาบาท แสวงหาการแก้แค้น หรือจงใจพยายามทำร้ายผู้อื่นเมื่อรู้สึกผิด
  • ปัญหาสังคมและวิชาการ: โรคดื้อและต่อต้าน สามารถนำไปสู่ปัญหาในโรงเรียนและความสัมพันธ์ทางสังคมได้ เด็กที่มีภาวะ โรคดื้อและต่อต้าน อาจมีปัญหาในการสร้างและรักษาเพื่อนไว้ และพฤติกรรมของพวกเขาอาจส่งผลเสียต่อผลการเรียนของพวกเขาได้
  • อาการกำเริบและระยะเวลา: โรคดื้อและต่อต้าน มักเกิดขึ้นในช่วงวัยเด็ก โดยมีอาการมักจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ความผิดปกตินี้อาจคงอยู่นานหลายปีหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ โรคดื้อและต่อต้าน ควรแยกความแตกต่างจากพฤติกรรมปกติและพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เหมาะสมตามวัย ซึ่งเด็กอาจแสดงออกมาเมื่อผ่านช่วงพัฒนาการต่างๆ การวินิจฉัย โรคดื้อและต่อต้าน เกิดขึ้นเมื่อพฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รุนแรง และทำให้การทำงานในแต่ละวันของเด็กแย่ลงอย่างมาก สาเหตุที่แท้จริงของ โรคดื้อและต่อต้าน ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และระบบประสาทร่วมกัน พลวัตของครอบครัว วินัยที่ไม่สอดคล้องกัน และการเผชิญกับความเครียดสามารถมีส่วนทำให้เกิดการพัฒนาหรือทำให้ โรคดื้อและต่อต้าน รุนแรงขึ้นได้ การรักษา โรคดื้อและต่อต้าน มักเกี่ยวข้องกับการบำบัดพฤติกรรม การฝึกอบรมผู้ปกครอง และในบางกรณีอาจต้องใช้ยาร่วมกัน พฤติกรรมบำบัดมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะจัดการอารมณ์ พัฒนาทักษะทางสังคม และพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือที่ดีขึ้น การฝึกอบรมผู้ปกครองสามารถเป็นเครื่องมือในการสอนผู้ปกครองถึงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการพฤติกรรมของบุตรหลานและปรับปรุงพลวัตของครอบครัว ในบางกรณี อาจมีการจ่ายยาเพื่อจัดการกับอาการที่เกิดขึ้นร่วม เช่น โรคสมาธิสั้นหรือความวิตกกังวล การแทรกแซงและการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงผลลัพธ์ในเด็กที่มี โรคดื้อและต่อต้าน หากคุณสงสัยว่าบุตรหลานของคุณอาจเป็นโรคดื้อและต่อต้าน สิ่งสำคัญคือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่สามารถให้การวินิจฉัยที่แม่นยำและพัฒนาแผนการรักษาที่เหมาะสมได้

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/oppositional-defiant-disorder/symptoms-causes/syc-20375831

  • https://www.webmd.com/mental-health/oppositional-defiant-disorder

  • https://medlineplus.gov/ency/article/001537.htm

  • https://www.cdc.gov/childrensmentalhealth/behavior.html


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด