โรคลิชมาเนียซิส (Leishmaniasis) :อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคลิชมาเนียซิสคืออะไร

โรคลิชมาเนียซิส (Leishmaniasis) เป็นโรคพยาธิที่เกิดจาก พยาธิ Leishmania ซึ่งเป็นพยาธิที่มักอาศัยอยู่ริ้นฝอยทรายที่ติดเชื้อ คุณจะได้รับเชื้อลิชมาเนียซิสจากการถูกริ้นฝอยทรายที่ติดเชื้อกัด

ตัวริ้นฝอยทรายที่เป็นพาหะของพยาธิดังกล่าวอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน โรคระบาดร้ายแรงจึงเกิดขึ้นบริเวณเอเชีย, แอฟริกาตะวันออก และอเมริกาใต้

ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมักอยู่ห่างไกลและมีสถานการณ์ที่ไม่คงที่ โดยมีทรัพยากรในการรักษาโรคนี้อย่างจำกัด แพทย์จึงขนานนามโรคลิชมาเนียซิลว่าเป็นหนึ่งในโรคเขตร้อนที่ถูกทอดทิ้งที่อันตรายที่สุด องค์กรยังระบุว่าโรคดังกล่าวเป็นโรคอันดับสองรองจากโรคมาลาเรียที่มีสาเหตุการเสียชีวิตจากพยาธิ

ประเภทของโรคลิชมาเนียซิส

โรคลิชมาเนียซิส แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ : ผิวหนัง  อวัยวะภายใน และเยื่อเมือก ในแต่ละชนิดมีความสัมพันธ์กันในแต่ละรูปแบบ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าพยาธิลิชมาเนียมีประมาณ 20 สายพันธ์ที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อสู่คน

โรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนัง

โรคลิชมาเนียซิลทางผิวหนังทำให้เกิดแผลที่ผิวหนัง เป็นชนิดที่พบมากที่สุดของโรคลิชมาเนียซิล การรักษาอาจไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่สามารถหายได้อย่างรวดเร็วและเลี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

โรคลิชมาเนียซิสชนิดเยื่อเมือก

เป็นชนิดที่พบได้น้อย โรคลิชมาเนียซิลชนิดเยื่อเมือกเกิดจากการที่เป็นชนิดที่ผิวหนังก่อนและเป็นนานหลายเดือนหลังจากโรคที่ผิวหนังหาย

โรคลิชมาเนียซิลชนิดนี้ พยาธิจะแพร่กระจายเข้าไปในจมูก, ลำคอ และปาก เหล่านี้นำไปสู่การทำลายเยื่อเมือกบางส่วนหรือทั้งหมดในบริเวณเหล่านั้น

แม้ว่าโรคลิชมาเนียซิลที่เยื่อเมือกจะเป็นส่วนหนึ่งของชนิดที่เกิดที่ผิวหนัง แต่มันมีความสำคัญเพราะไม่สามารถหายได้เองจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา

โรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายใน

โรคลิชมาเนียซิลที่อวัยวะภายในบ้างเรียกว่าโรคลิชมาเนียซิลที่ส่งผลต่อระบบร่างกาย หรือ Kala azar

ชนิดของโรคดังกล่าวมักเกิดภายใน 2-8 เดือนภายหลังถูกริ้นฝอยทรายกัด เชื้อจะไปทำลายอวัยวะภายใน เช่น ม้ามและตับ อีกทั้งยังส่งผลต่อไขกระดูก ลักษณะเดียวกับที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะต่างๆ

ภาวะดังกล่าวอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้หากไม่ได้รักษา

สาเหตุของโรคลิชมาเนียซิล

โรคลิชมาเนียซิลเกิดจากโปรโตซัวพยาธิสายพันธ์ุ Leishmania ผู้ป่วยจะได้รับเชื้อโรคลิชมาเนียซิลจากการกัดของริ้นฝอยทรายที่เป็นพาหะของเชื้อ

พยาธิจะมีชีวิตและเพิ่มจำนวนอยู่ภายในริ้นฝอยทรายตัวเมีย แมลงดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวมากในสภาพแวดล้อมที่ชื้นในระหว่างช่วงเดือนที่มีอากาศอบอุ่นและตอนกลางคืน ตั้งแต่พลบค้ำถึงรุ่งเช้า สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข สามารถเป็นแหล่งเพาะเชื้อพยาธิ การแพร่กระจายจึงอาจเกิดจากสัตว์เลี้ยงสู่ริ้นฝอยทรายแล้วจึงมาถึงมนุษย์

มนุษย์สามารถรับเชื้อพยาธิจากผู้อื่นผ่านทางเลือดหรือการใช้เข็มร่วมกัน  บางพื้นที่ของโลก การแพ่รเชื้อยังเกิดจากมนุษย์สู่แมลงริ้นฝอยทรายแล้วไปสู่มนุษย์

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคลิชมาเนียซิส

ภูมิศาสตร์

โรคดังกล่าวสามารถพบได้ทุกที่บนโลก ยกเว้น ออสเตเลีย และออสตาริก้า แม้ว่าร้อยละ 95 ของการเกิดโรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนังมีต้นเหตุมาจาก:

  • อเมริกา

  • เอเชียกลาง

  • แอ่งเมดิเตอเรเนียน

  • ตะวันออกกลาง

ในปีค.ศ.2015 มากกว่าร้อยละ 90 ของโรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายในเกิดขึ้นใน:

  • บลาซิล
  • เอธิโอเปีย
  • อินเดีย
  • เคนยา
  • โซมาเลีย
  • ซูดานใต้
  • ซูดาน
Leishmaniasis

หากคุณอาศัยหรือท่องเที่ยวในพื้นที่ภูมิภาคหรือประเทศแถบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อโรคดังกล่าว ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการแพร่กระจายของโรค

สภาพเศรษฐกิจและสังคม

องค์การอนามัยโลก (the World Health Organization :WHO) รายงานว่าความยากจนเป็นปัจจัยที่กำหนดการเกิดโรค นอกจากนี้ โรคลิชมาเนียซิลมักเกิดในบริเวณที่มีสภาพดังต่อไปนี้:

  • ภาวะพร่องโภชนาการ ขาดสารอาหาร

  • ความอดอยาก

  • ขาดแหล่งเงินทุนสนับสนุน

  • การอพยพของผู้คนจำนวนมากที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง  สถานการณ์ฉุกเฉิน  สงคราม  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ

การติดเชื้ออื่นๆ

ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำจะมีภาวะเสี่ยงสูง

การติดเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อโรคลิชมาเนียซิสและเพิ่มความเสี่ยงของโรคลิชมาเนียซิลวนอวัยวะภายใน เอชไอวีและโรคลิชมาเนียซิลส่งผลต่อเซลล์ที่คล้ายกันของระบบภูมิคุ้มกัน

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีมักจะติดเชื้อโรคลิชมาเนียซิลด้วย ในพื้นที่แถบเอธิโอเปีย ประมาณร้อยละ 35 ของผู้ที่เป็นโรคลิชมาเนียซิลติดเชื้อเอชไอวีด้วยเช่นกัน

อาการของโรคลิชมาเนียซิล

ผู้คนสามารถเป็นพาหะของโรคลิชมาเนียซิลได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่แสดงอาการของโรค อาการจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรค

โรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนัง

อาการหลักๆของโรคชนิดนี้คือการเกิดแผลที่ผิวหนังแบบไม่เจ็บปวด โดยอาการทางผิวหนังอาจเกิดประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากถูกริ้นฝอยทรายกัด แม้ว่าในบางครั้งจะไม่แสดงอาการหลายเดือนหรือเป็นปี

โรคลิชมาเนียซิสชนิดเยื่อเมือก

ในผู้ที่เป็นโรคชนิดเยื่อเมือก มักแสดงอาการ 1-5 ปี หลังจากเกิดแผลที่ผิวหนัง ซึ่งแผลส่วนใหญ่มักเกิดในช่องปากและจมูก หรือที่ริวฝีปาก

อาการอื่นๆได้แก่:

โรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายใน

หนึ่งเดือนภายหลังถูกแมลงกัดอาการของโรคต่ออวัยวะภายในจะยังไม่แสดงอาการ ส่วนใหญ่อาการจะแสดงเมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2-6 ภายหลังการติดเชื้อ สัญญาณและอาการแสดงทั่วไปได้แก่:

การวินิจฉัยโรคลิชมาเนียซิส

เป็นสิ่งสำคัญที่ควรบอกแพทย์ หากคุณอาศัยหรือเคยไปเที่ยวในสถานที่ที่มักเกิดโรคลิชมาเนียซิส ซึ่งเป็นทางที่จะช่วยให้แพทย์เลือกการตรวจหาพยาธิได้ถูกต้อง หากคุณเป็นโรคลิชมาเนียซิส แพทย์จะใช้การตรวจหาที่จำเพาะต่อพยาธิสายพันธุ์ Leishmania ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรค

การวินิจฉัยโรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนัง

แพทย์อาจจะเก็บตัวอย่างผิวหนังส่งตรวจโดยการตัดชิ้นเนื้อส่วนหนึ่งของแผล ตรวจหาดีเอ็นเอ หรือสารพันธุกรรมของพยาธิ พวกเขาจะใช้วิธีการตรวจที่หลากหลายเพื่อจำแนกสายพันธ์ุของพยาธิที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ

การวินิจฉัยโรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายใน

หลายครั้งที่ผู้คนจำไม่ได้ว่าถูกริ้นฝอยทรายกัด ซึ่งจะเป็นการยากในการวินิจฉัย

ประวัติการอยู่อาศัยหรือเคยไปเที่ยวในพื้นที่เกิดโรคลิชมาเนียซิลช่วยแพทย์ได้มาก โดยแพทย์จะเตรียมการตรวจร่างกายเพื่อตรวจหาการโตขึ้นของม้ามหรือตับ อีกทั้งเตรียมตัดชิ้นส่วนไขกระดูก หรือเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจ

การรักษาโรคลิชมาเนียซิส

ยาฆ่าพยาธิ เช่น Amphotericin B (Ambisome) สามารถรักษาภาวะของโรคได้ แพทย์จะแนะนำการรักษาอื่นๆตามชนิดของโรคลิชมาเนียซิสที่คุณเป็น

โรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนัง

แผลที่เกิดที่ผิวหนังมักหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แม้ว่าการรักษาจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น, ลดการเกิดแผลเป็น และลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอื่นๆ ส่วนแผลที่ทำให้ผิวหนังผิดรูปอาจต้องทำศัลยกรรม

โรคลิชมาเนียซิสชนิดเยื่อเมือก

แผลลักษณะนี้ไม่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ จำเป็นต้องรักษา โดยยา Liposomal amphotericin B และ Paromomycin สามารถรักษาโรคลิชมาเนียซิสชนิดเยื่อเมือกได้

โรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายใน

ชนิดที่เกิดในอวัยวะภายในจำเป็นต้องรักษา โดยมียาอยู่หลายตัว ทั่วไปมักใช้ยาดังนี้ Sodium stibogluconate (Pentostam), Amphotericin B, Paromomycin และ Miltefosine(Impavido)

ภาวะแทรกซ้อนของโรคลิชมาเนียซิส

ภาวะแทรกซ้อนของโรคลิชมาเนียซิสทางผิวหนัง ได้แก่:

  • มีเลือดออก

  • เกิดการติดเชื้ออื่นๆเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งอันตรายถึงชีวิต

  • เสียโฉม

ส่วนโรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายในมักทำให้เสียชีวิตขึ้นอยู่กับผลกระทบที่มีต่อทั้งอวัยวะภายในระบบภูมิคุ้มกัน หากคุณมีเชื้อเอชไอวีหรือเป็นโรคเอดส์ คุณมีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคดังกล่าว การมีเชื้อเอชไอวีหรือเป็นโรคเอดส์ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหลักของโรคลิชมาเนียซิส

การป้องกันโรคลิชมาเนียซิส

ยังไม่มีวัคซีนหรือยาป้องกันโรค ทางเดียวที่จะป้องกันโรคลิชมาเนียซิสคือการหลีกเลี่ยงการถูกริ้นฝอยทรายกัด

ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อการป้องกันการถูกริ้นฝอยทรายกัด:

  • สวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนังมากเท่าที่เป็นไปได้ เช่น กางเกงขายาว, เสื้อแขนยาวที่ซ่อนอยู่ในกางเกงขายาว และถุงเท้าทรงสูง

  • ใช้ยาไล่แมลงกับผิวหนังที่สัมผัสและปลายกางเกงและแขนเสื้อ ยาไล่แมลงที่มีประสิทธิภาพสูงประกอบไปด้วย DEET

  • ฉีดยาฆ่าแมลงบริเวณที่พัก

  • นอนหลับบนชั้นบนของอาคาร เพราะแมลงดังกล่าวบินต่ำ

  • หลีกเลี่ยงสถานที่กลางแจ้งเวลาพลบค้ำและรุ่งอรุณ เพราะช่วงเสลาดังกล่าวตัวริ้นฝอยทรายจะชุกชุม

  • เป็นไปได้ให้ใช้มุ้งลวดหรือเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร การใช้พัดลมอาจทำให้แมลงบินได้ยาก

  • ใช้มุ้งนอนสอดเข้าไปในที่นอน เพราะริ้นฝอยทรายตัวเล็กกว่ายุงมาก ดังนั้นจำเป็นต้องมีมุ้งหรือตาข่ายที่ท่อถี่ ถ้าเป็นไปได้ให้ฉีดพ่นตาข่ายด้วยยาฆ่าแมลงที่ประกอบไปด้วยไพรีทรอยด์ (Pyrethroid)

ควรหาซื้อมุ้งนอน, ยาฆ่าแมลง และยาไล่แมลงก่อนท่องเที่ยวในพื้นที่เสี่ยง

โภชนาการที่แนะนำสำหรับโรคลิชมาเนียซิส

โรคลิชมาเนียเป็นโรคปรสิตที่เกิดจากโปรโตซัวในสกุล Leishmania และแพร่เชื้อไปยังมนุษย์และสัตว์ได้ผ่านการกัดของแมลงวันทรายที่ติดเชื้อ แม้ว่าโภชนาการจะไม่สามารถรักษาโรคลิชมาเนียได้ แต่การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพโดยรวมและระบบภูมิคุ้มกันของคุณ ซึ่งสามารถมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อและส่งเสริมการฟื้นตัว ต่อไปนี้เป็นแนวทางโภชนาการทั่วไปสำหรับบุคคลที่เป็นโรคลิชมาเนีย:
  • รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้น : ดื่มน้ำปริมาณมากเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการ เช่น มีไข้ ท้องเสีย หรืออาเจียน ซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลวได้
  • อาหารที่สมดุล : รับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งประกอบด้วยอาหารหลากหลายจากกลุ่มอาหารทั้งหมด เช่น ผลไม้ ผัก โปรตีนไร้มัน เมล็ดธัญพืช และผลิตภัณฑ์นมหรือผลิตภัณฑ์ทดแทนนม สิ่งนี้จะช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม
  • โปรตีน : โปรตีนมีความสำคัญต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน รวมแหล่งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น สัตว์ปีก ปลา ถั่ว ถั่วเลนทิล และเต้าหู้ในอาหารของคุณ
  • ผักและผลไม้ : ทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของคุณ ตั้งเป้าไปที่ผักและผลไม้หลากสีสันเพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลาย
  • ธัญพืชไม่ขัดสี : เลือกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ควินัว และข้าวโอ๊ต แทนธัญพืชขัดสี พวกมันให้เส้นใยและสารอาหารมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมได้
  • ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ : รวมแหล่งของไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช และน้ำมันมะกอก ไว้ในอาหารของคุณ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ก็สามารถช่วยลดการอักเสบได้เช่นกัน
  • ธาตุเหล็กและโฟเลต : หากคุณประสบปัญหาโลหิตจางเนื่องจากโรคลิชมาเนียหรือโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รวมอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อแดงไม่ติดมัน สัตว์ปีก ถั่ว และซีเรียลเสริมอาหาร อาหารที่มีโฟเลตสูง เช่น ผักใบเขียวและพืชตระกูลถั่วก็สามารถช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้เช่นกัน
  • วิตามินซี : วิตามินซีสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและช่วยสมานแผล ผลไม้รสเปรี้ยว สตรอเบอร์รี่ พริกหยวก และบรอกโคลีเป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี
  • สังกะสี : สังกะสีจำเป็นต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและการรักษาบาดแผล อาหารเช่นเนื้อไม่ติดมัน สัตว์ปีก ถั่ว และพืชตระกูลถั่วเป็นแหล่งสังกะสีที่ดี
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่มีน้ำตาล : การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จำกัดหรือหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ระหว่างการฟื้นตัว อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสามารถยับยั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ ดังนั้นควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
  • มื้อเล็กๆ บ่อยๆ : หากคุณประสบปัญหาเบื่ออาหารหรือมีปัญหาทางเดินอาหาร ให้ลองรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ และบ่อยขึ้นเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการได้ง่ายขึ้น
อย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อขอคำแนะนำด้านโภชนาการและการรักษาเฉพาะบุคคลหากคุณเป็นโรคลิชมาเนีย ความรุนแรงของโรคอาจแตกต่างกันไป และในบางกรณีอาจต้องได้รับการบำบัดทางการแพทย์โดยเฉพาะ เช่น การใช้ยาหรือการผ่าตัด นอกเหนือจากโภชนาการที่เหมาะสม

แนวโน้มในระยะยาว

แผลที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรและทำให้เสียโฉม การรักษาอาจช่วยลดความรุนแรงได้

ยาสามารถช่วยรักษาโรคได้ อย่างไรก็ตามการรักษาจะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากเริ่มรักษาก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณ

โรคลิชมาเนียซิสในอวัยวะภายในมักอันตรายถึงชีวิตภายใน 2 ปี หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม


นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.cdc.gov/parasites/leishmaniasis/index.html

  • https://www.medicinenet.com/leishmaniasis/article.htm

  • https://medlineplus.gov/leishmaniasis.html

  • https://rarediseases.org/rare-diseases/leishmaniasis/


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด