ตาเหล่ (Crossed eyes) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ตาเหล่ (Crossed eyes) คือการที่ตาทั้งสองข้างไม่สามารถมองเห็นได้ในทิศทางเดียวกัน  ดวงตาทั้งสองข้างโฟกัสในทิศทางที่ต่างกัน หรือบางคนอาจจะเรียกว่าตาเข อาการตาเหล่นี้สามารถพบได้บ่อยในเด็ก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในภายหลัง ในเด็กโตและผู้ใหญ่อาการตาเข หรือตาเหล่นี้อาจเกิดจากโรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุได้หลายอย่าง เช่นสมองพิการหรือโรคหลอดเลือดสมอง

สัญญาณของอาการตาเหล่

หากผู้ป่วยมีภาวะตาเหล่ ตาทั้งสองข้างอาจจะชี้เข้าหากันด้านใน หรืออาจจะโฟกัสหรือมองเห็นวัตถุต่างกันไปคนละข้าง นอกจากนี้อาจจะมีอาการดังนี้ :
  • การมองเห็นภาพบกพร่อง
  • มองเห็นภาพซ้อน
  • การมองเห็นในส่วนของความลึกลดลง
  • สายตาอ่อนล้า
  • ปวดศีรษะ
บางคนอาจจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นจนกว่าร่างกายจะรู้สึกอ่อนล้า

อะไรคือสาเหตุของภาวะตาเหล่

ตาเขหรือตาเหล่ อาจเกิดจากความเสียหายของเส้นประสาท หรือเมื่อกล้ามเนื้อรอบดวงตาไม่ทำงานร่วมกันเพราะบางส่วนอ่อนแอกว่าส่วนอื่น   หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาและแก้ไขคุณอาจสูญเสียการมองเห็นในตาข้างที่อ่อนแอ  อาการตาเหล่นั้นพบมากในเด็ก แต่แพทย์ยังไม่ทราบถึงสาเหตุทีแน่ชัด แต่อาการตาเขในเด็กอาจจะเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบแค่การควบคุมกล้ามเนื้อของดวงตาแต่ไม่ได้ส่งผลต่อการมองเห็น อาการตาเขเข้าด้านใน (Esotropia) สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม และการรักษาจะต้องเป็นการผ่าตัด  ภาวะ esotropia  มักเกิดในเด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 5 ขวบโดยปกติแว่นตาสามารถแก้ไขได้  ภาวะตาเหล่นั้น ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในภายหลัง โดยสาเหตุมักเกิดจากความผิดปกติทางร่างกายเช่นการบาดเจ็บที่ดวงตา สมองพิการหรือโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้คุณยังอาจมีอาการตาเขหากคุณมีตาขี้เกียจหรือสายตายาว

ใครที่มีความเสี่ยงเป็นตาเหล่

คนที่ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดอาการตาเขหรือตาเหล่คือ:

ภาวะตาเหล่สามารถรักษาได้อย่างไร 

การรักษาตาเข จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุพื้นฐานของอาการของคุณ หากอาการตาเขนั้นเป็นผลมาจากตาขี้เกียจ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยสวมผ้าปิดตาที่แข็งแรงขึ้นเพื่อบังคับให้กล้ามเนื้อตาที่อ่อนแอของคุณทำงานหนักขึ้น บางครั้งแพทย์ของคุณอาจสั่งยาหยอดตาเพื่อเบลอการมองเห็นในดวงตาที่แข็งแรง  นอกจากนี้ยังสามารถใช้การฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดกล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไปและทำให้ตาเขได้ การรักษาอื่น ๆ ได้แก่:
  • การบริหารดวงตา
  • การสวมใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์
  • การผ่าตัดกล้ามเนื้อตาบางส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเลนส์สายตาไม่ได้รับการแก้ไข
หากอาการตาเหล่เกิดอาการป่วยอื่น  ๆ เช่นเนื้องอกในสมองหรือโรคหลอดเลือดสมอ งแพทย์อาจทำการผ่าตัดหรือการรักษาอื่น ๆ ที่เหมาะสม

การวินิจฉัยตาเหล่ 

จักษุแพทย์หรือจักษุแพทย์ –   ควรประเมินเด็กที่มีอายุมากกว่า 4 เดือนที่ดวงตาไม่ประสานกันตลอดเวลา เนื่องจากประวัติครอบครัวที่เป็นโรคตาเหล่เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะนี้ การตรวจควรเริ่มต้นด้วยประวัติผู้ป่วยโดยละเอียด ซึ่งในระหว่างนั้นแพทย์จะถามเกี่ยวกับอาการปัจจุบันและปัญหาสุขภาพ ยา หรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่อาจมีส่วนทำให้เกิดอาการตาเหล่ พวกเขา. แพทย์จะถามด้วยว่ามีใครในครอบครัวของคุณได้รับการวินิจฉัยว่าตาเหล่หรือไม่ จักษุแพทย์หรือกุมารแพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะตาเหล่ได้โดยการมองที่ดวงตา นอกจากนี้ยังมีการทดสอบบางอย่างที่สามารถยืนยันการวินิจฉัยได้ นอกเหนือจากการประเมินความชัดของการมองเห็น – ดวงตาของคุณมองเห็นได้ดีเพียงใด – โดยใช้แผนภูมิตา Snellen แพทย์ของคุณจะประเมินว่าดวงตาของคุณโฟกัส เคลื่อนไหว และทำงานร่วมกันได้ดีเพียงใด สำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีความสามารถในการสื่อสารและความร่วมมือจำกัด แพทย์จะทดสอบการจัดตำแหน่งโดยเปรียบเทียบตำแหน่งของแสงที่สะท้อนจากดวงตาแต่ละข้าง การทดสอบนี้ใช้ได้เฉพาะเมื่อมีอาการตาเหล่ในขณะทำการทดสอบเท่านั้น  ในเด็กที่สามารถสื่อสารและร่วมมือได้เช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ สามารถวินิจฉัยอาการตาเหล่ทั้งแบบเป็นพักๆ และต่อเนื่องได้ด้วยการตรวจแบบ ในการทดสอบเหล่านี้ คุณหรือบุตรหลานของคุณจะถูกขอให้จ้องมองวัตถุ แพทย์ของคุณจะสังเกตการตอบสนองของดวงตาแต่ละข้างเมื่อปิดและเปิดตาอีกข้าง การทดสอบอื่นใช้ปริซึม ซึ่งเป็นวัตถุใสรูปทรงพีระมิดที่โค้งงอแสง เพื่อวิเคราะห์ว่าดวงตาของคุณหรือดวงตาของลูกอยู่ในแนวเดียวกันหรือไม่

การพยากรณ์โรคตาเหล่

ในกรณีส่วนใหญ่ อาการตาเหล่สามารถแก้ไขได้หากตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรในตาข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่าตามัว (หรือ “ตาขี้เกียจ”)อาจส่งผลได้หากการรักษาล่าช้า เด็กตาเหล่ประมาณ 1 ใน 3 จะมีอาการตามัว นอกจากนี้ ตาเหล่ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้แม้หลังการรักษา โดยเฉพาะในเด็กที่มีอาการดังกล่าว แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามอาการ

ภาพรวมของอาการตาเหล่

บางคร้งการรักษาตาเหล่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาอาการตาเหล่ทันทีเพื่อลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียการมองเห็น หลังจากการรักษาแล้วในบางคนอาจจะมีอาการกลับมาอีกครั้ง และหากอาการตาเหล่ของผู้ป่วยส่งผลมาจากโรคอื่น ๆ การตรวจกาโรคให้เจอตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจจะช่วยให้มีโอกาสในการรักษาอาการตาเหล่ได้ง่ายขึ้น และสามารถช่วยให้ดวงตากลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ 

นี่คือแหล่งที่มาองบทความของเรา

  • https://www.health.harvard.edu/a_to_z/crossed-eyes-strabismus-a-to-z
  • https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/15065-strabismus-crossed-eyes
  • https://www.webmd.com/eye-health/strabismus
  • https://www.medicinenet.com/strabismus/article.htm

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด