โรคแอมีลอยโตซีส (Amyloidosis) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
โรคแอมีลอยโตซีส

แอมีลอยโดซิสคืออะไร?

แอมีลอยโดซิสคือโรคหรือภาวะที่เกิดจากการมีสารโปรตีนผิดปกติชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอมีลอย เข้าไปจับตัวอยู่ในร่างกายและทำให้อวัยวะนั้นเสียหาย รวมถึงเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะนั้นล้มเหลว โรคนี้พบได้ยากแต่ก็เป็นโรคที่มีความรุนแรง

แอมีลอยโดซิสส่งผลต่ออวัยวะต่างๆเช่น:

  • หัวใจ

  • ไต

  • ลำไส้

  • ข้อต่อ

  • ตับl

  • ระบบประสาท

  • ผิวหนัง

  • เนื่อเยื่ออ่อน

บางครั้งแอมีลอยก็ไปสะสมอยู่ทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าโรคอะมีลอยโดซิสทั่วกาย

โรคอะมีลอยโดซิสโดยทั่วไปมักไม่สามารถป้องกันได้ แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังสามารถจัดการกับอาการที่เกิดขึ้นได้ด้วยการรักษา

ชนิดของโรคและสาเหตุมีอะไรบ้าง?

ไขกระดูกตามปกติแล้วนั้นจะทำหน้าที่ผลิตเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือดชนิดต่างๆเพื่อลำเลียงออกซิเจนให้แก่ร่างกายและต่อสู้กับเชื้อโรค รวมถึงช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือด

นอกจากนี้ยังโรคอะมีลอยโดซิสอีกชนิดหนึ่งคือการติดเชื้อต่อสู้กับเซลล์เม็ดเลือดขาว(เซลล์พลาสม่า)ในการไขกระดูกทำให้เกิดการผลิตสารโปรตีนผิดปกติที่เรียกว่าอะมีลอย โปรตีนชนิดนี้จะจับตัวรวมเป็นกลุ่มก้อนและร่างกายไม่สามารถทำลายได้

สาเหตุหลักๆของโรคอะมีลอยโดซิสมาจากการสะสมของสารอะมีลอยตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย ชนิดของอะมีลอยขึ้นอยู่กับว่ารูปแบบของโรคของผู้ป่วยเป็นชนิดไหน โดยแบ่งออกดังต่อไปนี้:

ชนิดLight chain (AL) amyloidosis: เป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อสารโปรตีนผิดปกติที่เรียกว่า light chains (เส้นเบา) ไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่างๆเช่นที่บริเวณหัวใจ ไต ตับและผิวหนัง ชนิดนี้มักเรียกว่า primary amyloidosis

ชนิดAutoimmune (AA) amyloidosis: ชนิดนี้จะเกิดขึ้นหลังเกิดการติดเชื้อเช่นวัณโรคหรือเกิดจากโรคที่มีการอักเสบเช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง พบว่ากว่าครึ่งของผู้ป่วยที่เป็นชนิด AA จะมีโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ร่วมด้วย โรคอะมีลอยโดซิสชนิด AA ส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบต่อไต บางครั้งอาจทำความเสียหายให้ต่อลำไส้ ตับและหัวใจด้วย ชนิดนี้เรามักเรียกว่า secondary amyloidosis

ชนิด Dialysis-related amyloidosis:  ชนิดนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตมาเป็นเวลานานเป็นผลทำให้ไตมีปัญหา และสารอะมีลอยนี้ยังไปสะสมอยู่ในข้อต่อและเอ็นทำให้เป็นสาเหตุของอาการปวดเกร็ง

ชนิด Hereditary (familial) amyloidosis: เป็นชนิดที่พบได้ยาก มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ มักส่งผลกระทบต่อระบบประสาท หัวใจ ตับและไต

ชนิด Senile amyloidosis: ชนิดนี้มักส่งผลต่อหัวใจในผู้สูงอายุ

อาการของโรคอะมีลอยโดซิส

โรคอะมีลอยโดซิสในช่วงระยะแรกอาจไม่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน แต่จะเห็นความผิดปกติเมื่อโรคเริ่มรุนแรงขึ้น ซึ่งอาการที่แสดงออกมาแต่ละคนขึ้นอยู่กับอวัยวะใดของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ

Amyloidosis

หากโรคเกิดสารอะมีลอยที่หัวใจ ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้:

หากโรคเกิดขึ้นที่บริเวณไต ผู้ป่วยอาจมีอาการบวมที่ขาเกิดขึ้นเพราะของเหลวสะสม(อาการบวมน้ำ) หรือปัสสาวะเป็นฟองจากโปรตีนส่วนเกิน

หากเกิดขึ้นที่ตับ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บปวดและมีอาการบวมที่ช่องท้องส่วนบน

หากเกิดขึ้นที่ระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้:

หากมีสารอะมีลอยในระบบประสาท ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้:

  • รู้สึกเจ็บ ชา และเป็นเหน็บที่มือ เท้าและน่อง

  • รู้สึกหน้ามืดเมื่อลุกขึ้นยืน

  • คลื่นไส้

  • ท้องเสีย

  • ความสามารถในการรับรู้หนาวรู้ร้อนลดลง

อาการทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น:

  • เหนื่อยล้า

  • อ่อนเพลีย

  • มีรอยช้ำที่รอบดวงตาหรือบนผิวหนัง

  • ลิ้นบวม

  • เจ็บตามข้อ

  • กลุ่มอาการประสาทมือชา หรืออาการชาและเป็นเหน็บที่มือและนิ้วหัวแม่มือ

หากมีอาการต่างๆเหล่านี้มากเกินกว่า1-2วันควรไปพบแพทย์

ผู้ที่มีความเสี่ยง

ทุกคนมีความเสี่ยงต่อโรคอะมีลอยโดซิสทั้งสิ้น ปัจจัยเสี่ยงอาจเพิ่มมากขึ้นเนื่องจาก:

  • อายุ: ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นชนิดที่พบได้บ่อยคือชนิด AL amyloidosis เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

  • เพศ: พบว่าเพศชายเป็นโรคนี้มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

  • เชื้อชาติ: พบว่าคนแอฟริกันอเมริกันมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรคอะมีลอยโดซิสชนิดกรรมพันธ์ุได้สูงกว่าคนเชื้อชาติอื่น

  • ผู้ที่มีประวัติทางครอบครัว: โรคอะมีลอยโดซิสชนิดกรรมพันธุ์สามารถส่งต่อกันในครอบครัวได้

  • ประวัติการใช้ยา: การติดเชื้อหรือมีโรคที่ทำให้เกิดอาการอักเสบทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะมีลอยโดซิสชนิดAAมากขึ้น

  • ผู้ที่มีปัญหาที่ไต: หากผู้ป่วยมีโรคไตและมีความจำเป็นต้องฟอกไต คุณก็จะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การฟอกไตไม่สามารถกำจัดโปรตีนใหญ่ๆออกจากเลือดได้ดังนั้นจึงส่งผลต่อการทำงานของไต

วินิจฉัยอย่างไร?

แพทย์จะสอบถามอาการและประวัติการใช้ยา อาการของโรคอะมีลอยโดซิสอาจคล้ายกับโรคอื่นๆทำให้การวินิจฉัยทำได้ยาก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือผู้ป่วยต้องบอกอาการที่เกิดขึ้นให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดการวินิจฉัยโรคผิดพลาด

แพทย์อาจใช้การตรวจสอบดังต่อไปนี้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยเพิ่มเติม

ตรวจเลือดและตรวจปัสาวะ: เพื่อช่วยหาระดับสารโปรตีนอะมีลอย การตรวจเลือดยังจะสามารถตรวจเช็คการทำงานของไทรอยด์และตับได้ด้วย

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Echocardiogram): เพื่อตรวจสอบการทำงานและขนาดของหัวใจ

การตัดชิ้นเนื้อตรวจ: การตรวจสอบด้วยวิธีนี้แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อเยื่อตัวอย่างจากตับ เส้นประสาท ไต หัวใจ ไขมันหน้าท้องหรืออวัยวะส่วนอื่นๆ จากนั้นนำไปวิเคราะห์เพื่อแยกประเภทชนิดของโรคอะมีลอยโดซิสได้

การเจาะไขกระดูกและตัดชิ้นเนื้อ: การเจาะไขกระดูกคือการนำเข็มเล็กๆเข้าไปที่กระดูกแล้วดูดน้ำไขกระดูกออกมาเล็กน้อย และการตัดเนื้อไขกระดูกก็จะเป็นการตัดเอาเนื้อเยื่อจากด้านในกระดูกออกมาตรวจ การตรวจทั้งสองแบบอาจทำพร้อมกันหรือทำแยกกันได้ นอกจากนี้การนำตัวอย่างชิ้นเนื้อไปส่งตรวจยังสามารถหาความผิดปกติของเซลล์ได้เช่นกัน

เมื่อได้รับผลการตรวจทั้งหมดแล้ว แพทย์จะสามารถหาชนิดของโรคได้ นอกจากนี้ยังมีวิธีการตรวจประเภทอื่น เช่นการย้อมพิเศษทางอิมมูโนฮีสโตเคมี(immunochemical staining) และการตรวจหาโปรตีนและการเผาผลาญสารอาหารโปรตีน(protein electrophoresis)

รักษาโรคอะมีลอยโดซิสอย่างไร?

โรคอะมีลอยโดซิสไม่สามารถรักษาได้ จุดประสงค์หลักของการรักษาโรคนี้คือทำให้การสร้างสารโปรตีนอะมีลอยช้าลงและลดอาการต่างๆที่เกิดขึ้น

การรักษาทั่วไป

การใช้ยาเป็นตัวช่วยในการควบคุมอาการของโรคดังต่อไปนี้:

  • ยาบรรเทาอาการปวด

  • ใช้ยาเพื่อจัดการกับอาการท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน

  • ใช้ยาขับปัสสาวะเพื่อกำจัดน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย

  • ใช้ยาเจือจางเลือดเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด

  • ใช้ยาเพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ

การดูแลรักษาโรคอะมีลอยโดซิสจะขึ้นอยู่กับประเภทที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย

การรักษาโรคอะมีลอยโดซิสชนิด AL

การรักษานี้จะใช้วิธีเคมีบำบัด โดยปกติยาเคมีบำบัดนำมาใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง แต่สามารถใช้กับโรคนี้ได้เช่นกัน โดยเมื่อนำมาใช้กับโรคอะมีลอยโดซิสตัวยาจะไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติที่เป็นตัวการในการสร้างโปรตีนอะมีลอยขึ้น หลังจากการได้รับเคมีบำบัดผู้ป่วยอาจต้องใช้สเต็มเซลล์ การปลูกถ่ายไขกระดูกมาทดแทนเซลล์ไขกระดูกที่ถูกทำให้เสียหายไป

การใช้ยาบางตัวก็อาจช่วยรักษาโรคอะมีลอยโดซิสแบบAIได้ เช่น:

ยากลุ่ม Proteasome inhibitors: เป็นยาสำหรับยับยั้งโพรทีเอโซมซึ่งช่วยทำลายโปรตีนได้

การใช้สารปรับปรุงภูมิคุ้มกัน: เป็นสารที่ยับยั้งการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การรักษาอะมีลอยโดซิสชนิด AA

การรักษาชนิดนี้จะรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ส่วนหากเกิดการอักเสบจะทำการรักษาด้วยยาแก้อักเสบ

การรักษาชนิด Dialysis-related amyloidosis

ผู้ป่วยสามารถรักษาชนิดนี้ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการฟอกไตที่ผู้ป่วยได้รับ หรืออาจใช้ทางเลือกอื่นเช่นการปลูกถ่ายไต

การรักษาโรคอะมีลอยโดซิสที่เกิดพันธุกรรม

ชนิดของโรคชนิดนี้เกิดจากโปรตีนที่ผิดปกติที่มาจากตับ ผู้ป่วยอาจต้องทำการปลูกถ่ายตับ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอะมีลอยโดซิส

โรคอะมีลอยโดซิสอาจสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะต่างๆที่สารดังกล่าวไปสะสมอยู่เช่น:

หัวใจ: โรคอะมีลอยโดซิสจะไปขัดขวางการทำงงานของหัวใจ ส่งผลให้การเต้นของหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ อะมีลอยในหัวใจเป็นสาเหตุให้การสูบฉีดของหัวใจทำงานอ่อนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเหนื่อยและมีอัตราความดันเลือดต่ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้ในที่สุด

ไต: อาจส่งผลกระทบต่อการขับของเสียออกจากเลือดและทำให้ไตทำงานหนักเกินไป นำไปสู่ภาวะไตวายได้

ระบบประสาท: เมื่ออะมีลอยไปสะสมอยู่ที่ระบบประสาทและทำความเสียหาย จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวด ชารู้สึกคล้ายถูกเข็มทิ่มที่นิ้วเท้าและนิ้วมือหรืออาจเกิดผลกระทบต่อระบบประสาทอื่นๆ เช่นระบบที่ควบคุมการทำงานของลำไส้หรือความดันโลหิต

การใช้ชีวิตกับโรคอะมีลอยโดซิส

การใช้ชีวิตร่วมกับโรคอะไมลอยด์ซิสได้ ซึ่งเป็นกลุ่มความผิดปกติที่พบไม่บ่อยที่เกิดจากการสะสมโปรตีนอะไมลอยด์อย่างผิดปกติในอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคล คำแนะนำทั่วไปมีดังนี้:
  • การจัดการทางการแพทย์: ทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมดูแลสุขภาพของคุณ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักโลหิตวิทยา นักไตวิทยา หรือแพทย์โรคหัวใจที่มีประสบการณ์ในการรักษาโรคอะไมลอยโดซิส พวกเขาจะช่วยสร้างแผนการรักษาส่วนบุคคลตามประเภทและความรุนแรงของอาการของคุณ
  • ยา: ขึ้นอยู่กับชนิดของอะไมลอยโดซิส แพทย์ของคุณอาจสั่งยาเพื่อจัดการกับอาการและชะลอการลุกลามของโรค สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงยาเคมีบำบัด ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรือยาเพื่อควบคุมอาการของอวัยวะบางอย่าง
  • อาหารและโภชนาการ: ผู้ที่เป็นโรคอะไมลอยด์ซิสบางคนอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอาหารตามอาการและอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ ทำงานร่วมกับนักโภชนาการที่ลงทะเบียนเพื่อสร้างอาหารที่สมดุลซึ่งตรงกับความต้องการทางโภชนาการของคุณและสนับสนุนสุขภาพโดยรวมของคุณ
  • การบริโภคของเหลวและเกลือ: การจัดการการบริโภคของเหลวและเกลืออาจมีความสำคัญ ขึ้นอยู่กับประเภทของอะไมลอยโดซิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโรคนี้ส่งผลต่อไตหรือหัวใจของคุณ แพทย์จะแนะนำคุณเกี่ยวกับระดับที่เหมาะสมสำหรับอาการของคุณ
  • การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดตามอาการของคุณ การจัดการอาการ และปรับแผนการรักษาตามความจำเป็น ติดต่อกับทีมดูแลสุขภาพของคุณและรายงานการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพของคุณ
  • การดูแลแบบประคับประคอง: โรคอะไมลอยโดซิสอาจทำให้เกิดอาการได้หลายอย่าง รวมถึงความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และความผิดปกติของอวัยวะ ทีมดูแลสุขภาพของคุณสามารถช่วยจัดการกับอาการเหล่านี้ได้ด้วยการใช้ยา กายภาพบำบัด เทคนิคการจัดการความเจ็บปวด และมาตรการสนับสนุนอื่นๆ
  • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: การเปลี่ยนการใช้ชีวิตอาจแนะนำให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงการจัดการกับความเครียด การรักษาน้ำหนักให้แข็งแรง ออกกำลังกายให้แข็งแรง (หากเหมาะสมกับสภาพของคุณ) และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • การสนับสนุนทางอารมณ์และจิตใจ: การมีชีวิตอยู่กับภาวะเรื้อรังอาจเป็นเรื่องท้าทายทางอารมณ์ ลองขอการสนับสนุนจากนักบำบัด ผู้ให้คำปรึกษา กลุ่มสนับสนุน หรือแม้แต่เพื่อนและครอบครัวเพื่อช่วยคุณรับมือกับแง่มุมทางอารมณ์ในการจัดการอาการของคุณ
  • รับทราบข้อมูล: แจ้งตัวเองเกี่ยวกับสภาพของคุณ การทำความเข้าใจโรคอะไมลอยโดซิส อาการ และทางเลือกในการรักษาสามารถช่วยให้คุณมีส่วนร่วมในการดูแลของตนเองได้
  • ตัวเลือกการรักษาขั้นสูง:ในบางกรณี การปลูกถ่ายอวัยวะหรือการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์อาจถือเป็นทางเลือกในการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโรคอะไมลอยด์ซิสบางประเภท หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้เหล่านี้กับทีมดูแลสุขภาพของคุณ
โปรดจำไว้ว่าอะไมลอยโดซิสเป็นกลุ่มความผิดปกติที่ซับซ้อนและหลากหลาย และประสบการณ์ของแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมแพทย์ที่มีความรู้และการปฏิบัติตามคำแนะนำเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการอาการและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ภาพรวมของโรคอะมีลอยโดซิส

โรคอะมีลอยโดซิสไม่สามารถรักษาได้ แต่สามารถจัดการและควบคุมระดับอะมีลอยได้ด้วยการรักษา ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกในการรักษาและหาวิธีวางแผนการรักษา เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนแผนการรักษาและอาการต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติต่อไป


นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/amyloidosis/symptoms-causes/syc-20353178

  • https://www.webmd.com/cancer/lymphoma/amyloidosis-symptoms-causes-treatments

  • https://www.nhs.uk/conditions/amyloidosis/

  • https://rarediseases.org/rare-diseases/amyloidosis/


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด