ปวดอุ้งเชิงกราน (Pelvic Pain) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Wikanda Rattanaphan
0
Default Thumbnail
กระดูกเชิงกราน (Pelvic Pain) คือ ตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะสืบพันธุ์ อยู่บริเวณท้องส่วนล่างติดกับส่วนขา โดยอาการปวดอุ้งเชิงกรานสามารถแผ่ออกไปที่ท้องส่วนล่าง ดังนั้นการแยกอาการปวดอุ้งเชิงกรานออกจากอาการปวดท้องจึงทำได้ยาก เพราะไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นการปวดท้องน้อยตรงกลางหรือปวดท้องน้อยที่ด้านในด้านหนึ่ง ปวดอุ้งเชิงกราน (Pelvic Pain)

โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID)

โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) คือ การติดเชื้อในระบบสืบพันธ์ุของเพศหญิงโดยทั่วไปจะเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่และไม่ได้รับการรักษา เช่น หนองในเทียมหรือหนองใน เมื่อติดเชื้อครั้งแรก จะไม่เกิดอาการ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงรวมถึงอาการปวดเรื้อรังที่อุ้งเชิงกรานหรือในช่องท้อง อาการอื่นๆ ประกอบไปด้วย:
  • มีเลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ไข้
  • ตกขาวมีกลิ่นแรง
  • เจ็บบริเวณท้องน้อยระหว่างถ่ายปัสสาวะ

สาเหตุการปวดอุ้งเชิงกราน

มีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยทั้งแบบฉับพลันและปวดท้องน้อยบ่อยๆ แบบเรื้อรัง การปวดอุ้งเชิงกรานแบบฉับพลัน คือ อาการปวดที่เพิ่งเกิดขึ้นและเกิดขึ้นอย่างทันที ในขณะที่การปวดอุ้งเชิงกรานแบบเรื้อรัง คือ อาการปวดที่มีระยะเวลายาวนาน  โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากมีสาเหตุจาก:
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • แผลเป็นที่อวัยวะสืบพันธุ์
  • ฝี
  • ความไม่สมบูรณ์ของระบบสืบพันธุ์

เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่

ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอในช่วงวัยเจริญพันธุ์  เกิดจากการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อมดลูกนอกมดลูก และเนื้อเยื่อนี้ยังคงทำหน้าที่เหมือนที่มันเคยเป็น รวมถึงเรื่องการไหลเวียนเพื่อตอบสนองต่อรอบประจำเดือน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่มีหลายระดับความเจ็บปวดด้วยกันตั้งไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นรุนแรงได้ ความเจ็บปวดนี้จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนทำให้สุขภาพทรุดโทรม และพบมากในช่วงที่เป็นประจำเดือนนอกจากนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์และมีการเคลื่อนไหวของลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ ความเจ็บปวดในบริเวณอุ้งเชิงกราน แต่สามารถขยายเข้าไปในช่องท้อง ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอาจส่งผลกระทบต่อปอดและกระบังลมแม้ว่าจะเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม นอกจากอาการเจ็บปวดยังประกอบด้วยอาการเหล่านี้:
  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  • คลื่นไส้
  • ท้องอืด

การตกไข่

ในผู้หญิงบางคนอาจจะมีอาการเจ็บแปลบท้องช่วงที่ตกไข่คือเมื่อไข่ตกจากรังไข่  เรียกว่าอาการปวดท้องจากการตกไข่ (Mittelschmerz) อาการปวดนี้จะเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง และสามารถรักษาด้วยยาแก้ปวดทั่วไป

ปวดท้องประจำเดือน

อาการปวดท้องหน่วง ปวดท้องน้อย หรือปวดอุ้งเชิงกรานสามารถเกิดก่อนหรือระหว่างเป็นประจำเดือน เป็นอาการปวดเกร็งท้องน้อยหรือในกระดูกเชิงกราน ความรุนแรงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน อาการปวดก่อนมีประจำเดือนอยู่ใน กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) หากความเจ็บปวดรุนแรงมากจนรบกวนกิจวัตรประจำวัน เราจะเรียกว่า กลุ่มอาการผิดปกติรุนแรงก่อนมีประจำเดือน (PMDD) PMS และ PMDD มักจะมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ได้แก่ :
  • ท้องอืด
  • หงุดหงิดง่าย
  • นอนไม่หลับ
  • วิตกกังวล
  • คัดเต้านม
  • อารมณ์เเปรปรวน
  • ปวดศีรษะ(headache)
  • ปวดข้อ
อาการเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีประจำเดือน อาการปวดท้องประจำเดือนนี้จะรู้สึกปวดท้องเกร็งหรือเจ็บท้องน้อยและมาพร้อมกับอาการ: ถ้าคุณปวดท้องประจำเดือนอย่างรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ด่วน เพื่อที่จะได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

โรครังไข่บิดขั้ว

หากรังไข่นั้นเกิดการบิดตัวจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดทันทีอย่างรุนแรง บางครั้งอาการปวดจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการคลื่นไส้และอาเจียน อาการนี้อาจจะเริ่มก่อนการปวดเกร็งหน้าท้อง โรครังไข่บิดขั้วถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินที่ผู้ป่วยต้องเข้าพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดทันที

โรคถุงน้ำรังไข่

โรคถุงน้ำในรังไข่หรือซีสต์ในรังไข่มัก เริ่มแรกจะไม่ส่งผลให้เกิดอาการใด ๆ แต่หากมีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยเจ็บหรือปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน หรือหน้าท้องด้านใดด้านหนึ่ง และหน้าท้องส่วนล่างจะป่องกว่าปกติ หากถุงน้ำในรังไข่แตกจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดรุนแรงอย่างฉับพลัน ถุงน้ำในรังไข่สามารถหายไปเองได้ แต่อย่างไรก็ตามควรเข้าพบแพทย์ กรณีที่ถุงน้ำในรังไข่มีขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการผ่าตัดออกให้ เพื่อหลีกเลี่ยงถุงน้ำรังไข่แตก

เนื้องอกในมดลูก (Myomas)

เนื้องอกในมดลูกนั้นเป็นอันตรายสำหรับมดลูก อาการแตกต่างกันไปตามขนาดและตำแหน่งที่เกิดเนื้องอก ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่ปรากฏอาการใดๆ อาการที่จะเกิดร่วมกรณีมีเนื้องอกในมดลูกได้แก่ :
  • มีเลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์
  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  • ปัสสาวะลำบาก
  • ปวดขา
  • ท้องผูก
  • ปวดหลัง
กรณีที่เนื้องอกในมดลูกทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานรุนแรง ผู้ป่วยควรพบแพทย์ โดยสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณดังนี้ :
  • ปวดกระดูกเชิงกรานเรื้อรัง
  • ปวดกระดูกเชิงกรานรุนแรง
  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
  • ปัสสาวะติดขัด

โรคมะเร็งทางสูตินารีเวช

มะเร็งสามารถเกิดได้ในหลายตำแหน่งในอุ้งเชิงกราน ได้แก่:
  • มดลูก
  • เยื่อบุโพรงมดลูก
  • ปากมดลูก
  • รังไข่
อาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ในเรื่องของการปวดอุ้งเชิงกราน ช่องท้อง ความเจ็บระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงตกขาวผิดปกติ การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจสอบภายในทางนารีเวชสามารถช่วยให้พบอาการของโรคมะเร็งได้เร็วขึ้น และหากพบจะทำให้สามารถรักษาได้ง่ายขึ้น

สาเหตุปวดอุ้งเชิงกรานในสตรีมีครรภ์

อาการปวดอุ้งเชิงกรานระหว่างการตั้งครรภ์ไม่ใช่สัญญาณปัญหาด้านสุขภาพ แต่กำลังจะบอกว่าร่างกายของคุณมีการเจริญเติบโต กระดูกเชิงกรานของคุณกำลังขยาย ทำให้คุณรู้สึกถึงความไม่สบายตัวและความเจ็บปวดได้ อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดนี้สามารถทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้ได้ แม้จะไม่รุนแรง แต่คุณควรพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด เป็นต้น สาเหตุของการปวดอุ้งเชิงกรานระหว่างตั้งครรภ์ได้แก่ :

อาการเจ็บท้องเตือน Braxton-Hicks contractions

อาการนี้มักจะเป็นอาการเตือนถึงการตั้งครรภ์ และปัจจัยที่กระตุ้นอาการนี้ได้แก่:
  • การยกของหนัก
  • การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
  • การขาดน้ำ
อาการเจ็บท้องเตือนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาปกติ อาจจะมีอาการเจ็บปวดขึ้นหรือลงในบางเวลา และไม่ถือว่าเป็นอาการเจ็บปวดฉุกเฉิน แต่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการที่เกิดขึ้น

การแท้งบุตร

การแท้งบุตร คือ การสูญเสียทารกในครรภ์ก่อนสัปดาห์ที่ 20 การแท้งบุตรส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก่อนสัปดาห์ที่ 13 และจะมีอาการนี้ร่วมด้วย:
  • ตกเลือด
  • ปวดท้อง
  • ปวดอุ้งเชิงกราน
  • มีของเหลวหรือเนื้อเยื่อออกจากทางช่องคลอด
หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์ฉุกเฉินโดยทันที

การคลอดก่อนกำหนด

อาการนี้จะเกิดก่อนสัปดาห์ที่ 37 โดยมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย:
  • มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง
  • ปวดหลังส่วนล่าง
  • เมื่อยล้า
  • ตกขาวหนักกว่าปกติ
  • ปวดเกร็งท้องน้อย
การคลอดก่อนกำหนดถือว่าเป็นอันตราย ควรพบแพทย์ในทันทีหากมีอาการดังข้างต้น เพื่อจะทำการรักษาได้ทันเวลา เพราะอาจนำไปสู่อาการของมดลูกอักเสบได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากมีโอกาสสูงที่มดลูกติดเชื้อได้

ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด

รกนั้นก่อตัวและยึดติดกับผนังมดลูกตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ โดยมีหน้าที่ให้ออกซิเจนและสารอาหารแก่ลูกน้อยจนกว่าจะคลอด ภาวะนี้เกิดจากรกนั้นจะแยกตัวออกจากผนังมดลูกอาจจะเป็นบางส่วนหรือทั้งหมด เราเรียกว่าภาวะรกลอก ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดอาจทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอด ร่วมกับการปวดท้องและหลังอย่างรุนแรงฉับพลัน อาจเกิดขึ้นได้หลังสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ หากมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์ฉุกเฉินโดยทันที

การตั้งครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครรภ์นอกมดลูกเกิดขึ้นหลังจากการปฏิสนธิของไข่ที่ท่อนำไข่หรือส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ในมดลูก อาการแบบนี้ไม่สามารถรักษาได้และอาจส่งผลให้ท่อนำไข่แตกและมีเลือดออกภายใน ผู้ป่วยจะเจ็บช่องท้องอย่างรุนแรงและมีเลือดออกทางช่องคลอด รวมถึงอาจจะมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานร่วมด้วย

สาเหตุปวดท้องน้อยอื่นๆ

อาการปวดอุ้งเชิงกรานสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆ นอกจากด้านบนได้ โดยอาจจะมีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้:

การบำบัดรักษาด้วยตนเอง

อาการปวดอุ้งเชิงกรานสามารถบรรเทาด้วยยาแก้ปวดท้องที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยารักษาใดๆ ระหว่างตั้งครรภ์ และการพักผ่อนสามารถช่วยได้ในการปวดอุ้งเชิงกรานจากสาเหตุบางประเภท สำหรับบางคนการออกกำลังกายเบาๆ สามารถช่วยได้ และคุณสามารถลองใช้เคล็ดลับเหล่านี้ได้:
  • ใช้กระเป๋าหรือขวดน้ำร้อนในการผ่อนคลายอาการปวดท้องน้อย หรืออาบน้ำอุ่น
  • ยกขาให้สูง อาจจะบรรเทาอาการปวดอุ้งเชิงกรานและอาการปวดหลังส่วนล่างหรือต้นขา
  • โยคะและทำสมาธิสามารถช่วยจัดการความเจ็บปวดได้
  • ใช้สมุนไพร เช่น เปลือกวิลโลว์ ช่วยลดอาการปวดได้ แต่ทั้งนี้ควรได้รับการอนุญาตจากแพทย์ก่อนการใช้ระหว่างตั้งครรภ์
สิ่งเหล่านี้เป็นเคล็ดลับดีๆ แต่อย่างไรก็ตามหากคุณมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานควรพบแพทย์ และทำการวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการสอบถามและตรวจสภาพร่างกายโดยทั่วไป เพื่อหาอาการเบื้องต้นและความเจ็บปวดที่ได้รับ รวมถึงอาการผิดปกติร่วมอื่นๆ แพทย์อาจจะแนะนำแปปสเมียร์ (Pap smear) หากคุณไม่เคยมีอาการใดๆ ใน 3 ปีที่ผ่านมา การตรวจสอบอาการโดยทั่วไปมีดังนี้:
  • การตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อหาจุดที่ปวดบริเวณช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
  • อัลตร้าซาวด์เชิงกราน เพื่อให้แพทย์สามารถดูโครงสร้างของมดลูกและระบบสืบพันธ์ทั้งหมด การทดสอบนี้ใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อตรวจสอบผ่านทางจอคอมพิวเตอร์
  • การทดสอบเลือดและปัสสาวะ เพื่อหาการติดเชื้อ
หากวิธีการดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบพบได้ อาจจะใช้วิธีดังต่อไปนี้:
  • ซีทีสแกน CT scan
  • ทำเอ็มอาร์ไอ MRI อุ้งเชิงกราน
  • ส่องกล้องดูอุ้งเชิงกราน Pelvic laparoscopy
  • ส่องกล้องดูระบบลำไส้ Colonoscopy
  • ส่องกล้องดูกระเพาะปัสสาวะ Cystoscopy

คำถามที่พบบ่อย

อะไรคือสาเหตุหลักของอาการปวดกระดูกเชิงกราน
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก 
  • โรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ (เรียกอีกอย่างว่า PID การติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์)
  • ถุงน้ำรังไข่บิดหรือแตก
  • การแท้งบุตรหรือการแท้งคุกคาม
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ไส้ติ่งอักเสบ
  • ท่อนำไข่แตก
อาการของอาการปวดเชิงกราน คือ อาการปวดแสบปวดร้อนแบบแปล๊บ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ไม่หายไป ปวดตื้อๆ หรือหนักๆ หรือรู้สึกกดดัน ความรู้สึกบิดหรือผูกปม อาการปวดเชิงกรานเป็นเรื่องปกติหรือไม่ อาการปวดกระดูกเชิงกรานบางประเภทเป็นเรื่องปกติและพบได้บ่อย ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ผู้หญิงหลายคนมีอาการปวดประจำเดือนเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ปัจจัยอื่นๆ ก็ทำให้เกิดอาการปวดเชิงกรานในผู้หญิงได้เช่นกัน แต่อาการปวดอย่างต่อเนื่อง (เรื้อรัง) และรุนแรงอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเพิกเฉย อาการปวดกระดูกเชิงกรานรุนแรงหรือไม่ อาการปวดหรือเป็นตะคริวในอุ้งเชิงกรานอย่างรุนแรง (โดยเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง) มีเลือดออกทางช่องคลอด คลื่นไส้ และเวียนศีรษะเป็นอาการ รับความช่วยเหลือทางการแพทย์ทันที นี่เป็นเหตุฉุกเฉินที่คุกคามชีวิต อาการปวดกระดูกเชิงกรานสามารถเป็นได้นานแค่ไหน อาการปวดกระดูกเชิงกรานอาจเป็นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังก็ได้ เฉียบพลัน หมายถึง ความเจ็บปวดอย่างกะทันหันและรุนแรง เรื้อรัง หมายถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นและหายไปหรือกินเวลานานหลายเดือนหรือนานกว่านั้น อาการปวดกระดูกเชิงกรานที่เป็นนานกว่า 6 เดือนและไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาเรียกว่าอาการปวดเชิงกรานเรื้อรัง ปวดกระดูกเชิงกรานกินอะไรดี ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนหรือนาโพรเซนโซเดียมสามารถช่วยลดอาการบวมที่นำไปสู่อาการปวดกระดูกเชิงกรานได้ อะเซตามิโนเฟนยังสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ หาเวลาออกกำลังกาย. แม้ว่าคุณจะรู้สึกไม่อยากเคลื่อนไหว แต่การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและอาจช่วยลดความรู้สึกไม่สบายได้ ปวดกระดูกเชิงกรานได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ แม้ว่าอาการปวดกระดูกเชิงกรานจะพบได้บ่อยตั้งแต่วัยรุ่นเป็นต้นไป แต่ก็อาจส่งผลต่อเด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ขวบได้เช่น กัน จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณเพิกเฉยต่ออาการปวดกระดูกเชิงกราน การเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้อาการปวดกระดูกเชิงกรานเรื้อรังเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา หากอาการปวดเป็นผลจากโรคประจำตัว อาจลุกลามและอาการของคุณอาจแย่ลงได้ ยิ่งอาการของคุณดำเนินไปมากเท่าไหร่ การรักษาก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น การเดินสามารถลดอาการปวดเชิงกรานได้หรือไม่ หากคุณมีอาการของอุ้งเชิงกรานแน่นการเดินทุกวันจะช่วยให้คุณมีสิ่งดีๆ อย่างไรก็ตาม เดินเร็วเกินไปและคุณเสี่ยงต่อการบีบรัดอุ้งเชิงกรานมากยิ่งขึ้น อาการปวดกระดูกเชิงกรานสามารถเป็นมะเร็งได้หรือไม่ อาการปวดหรือ แรงกดในอุ้งเชิงกรานเป็นเรื่องปกติสำหรับมะเร็งรังไข่และมดลูก ความต้องการปัสสาวะบ่อยหรือเร่งด่วนและ/หรือท้องผูกเป็นเรื่องปกติสำหรับมะเร็งรังไข่และช่องคลอด อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: อาหารเหล่านี้หลายชนิดอาจทำให้กระเพาะปัสสาวะและบริเวณอื่นๆ ของอุ้งเชิงกรานระคายเคืองได้
  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
  • แอลกอฮอล์
  • ผักและผลไม้ที่เป็นกรดสูง: มะเขือเทศ แครนเบอร์รี่ และส้ม
  • เครื่องดื่มอัดลม: โซดา
  • อาหารรสเผ็ด
  • น้ำตาลเทียมและสารให้ความหวาน 
ทำไมอาการปวดกระดูกเชิงกรานจึงแย่ลงในตอนกลางคืน ในกรณีของ PGP ผู้หญิงจำนวนมากพบว่าอาการแย่ลงในตอนกลางคืน บ่อยครั้งอาจเกิดจากความจริงที่ว่า กล้ามเนื้อก้นของคุณ ซึ่งเป็นตัวหลักในการคงตัวของกระดูกเชิงกรานของคุณนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวมากนักในเวลากลางคืนเนื่องจากอยู่ในท่าพักผ่อน คุณทำมากเกินไปในระหว่างวันโดยไม่ได้รับการสนับสนุนรอบเชิงกรานเพียงพอ ปวดกระดูกเชิงกรานควรนอนอย่างไร วิธีแก้ไขที่แนะนำโดยทั่วไปคือวางหมอนไว้ระหว่างเข่า วิธีนี้อาจช่วยได้เนื่องจากคุณจะเพิ่มระยะห่างระหว่างเข่าขึ้นอีกเล็กน้อย ถ้าคุณมีหมอนอ้วนๆ มันอาจทำให้คุณลุกขึ้นได้สูงพอๆ กับระดับกระดูกเชิงกรานด้านบน การดื่มน้ำช่วยอาการปวดกระดูกเชิงกรานหรือไม่ การดื่มน้ำส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ จำเป็นต้องมีน้ำเพียงพอสำหรับการทำงานของลำไส้ปกติ ซึ่งจะช่วยกำจัดของเสีย – แต่ก็เกี่ยวข้องกับอาการปวดกระดูกเชิงกรานด้วย แนะนำให้ผู้หญิงดื่มน้ำ 11.5 แก้ว/วัน

นี่คือลิงค์ที่มาของแหล่งบทความของเรา

https://www.nhs.uk/conditions/pelvic-paincs https://www.webmd.com/women/ss/slideshow-pelvic-pain-causes https://www.onhealth.com/content/1/pelvic_pain_causes https://medlineplus.gov/pelvicpain.html https://patient.info/womens-health/pelvic-pain-in-women

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด