มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) : อาการ สาเหตุ การรักษา

มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) คือมะเร็งที่เกิดขึ้นในช่องจมูกซึ่งอยู่ด้านหลังจมูกเหนือด้านหลังของลำคอ

มะเร็งโพรงหลังจมูกพบได้น้อยในสหรัฐอเมริกา แต่เกิดขึ้นบ่อยมากในส่วนอื่นๆ ของโลก โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มะเร็งโพรงหลังจมูกตรวจพบได้ยากในระยะเริ่มต้น นั่นอาจเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตรวจสอบช่องจมูก และอาการของมะเร็งหลังโพรงจมูกจะเลียนแบบภาวะอื่น ๆ ที่พบได้บ่อย

การรักษามะเร็งโพรงจมูกมักเกี่ยวข้องกับการฉายรังสี เคมีบำบัด หรือการใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน คุณสามารถร่วมมือกับแพทย์ในการกำหนดแนวทางการรักษาที่แน่นอน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะของคุณ

อาการมะเร็งหลังโพรงจมูก

ในระยะแรก มะเร็งหลังโพรงจมูกอาการจะยังไม่แสดงให้เห็นได้ชัด  ซึ่งอาการที่เห็นได้ชัดเจนของมะเร็งหลังโพรงจมูก ได้แก่::

ควรพบแพทย์เมื่อใด

มะเร็งหลังโพรงจมูกในระยะเริ่มต้นอาจไม่แสดงอาการของโรคให้คุณไปพบแพทย์เสมอไป อย่างไรก็ตาม หากคุณสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่องในร่างกาย เช่น มีอาการคัดจมูกผิดปกติ ให้ไปพบแพทย์

สาเหตุของมะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งเริ่มเกิดขึ้นเซลล์อย่างน้อย 1 เซลล์เกิดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ทำให้เซลล์ปกติเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ รุกรานโครงสร้างโดยรอบและแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายในที่สุด กระบวนการนี้ของมะเร็งหลังโพรงจมูกเริ่มต้นในเซลล์สเควมัส (squamous cells) ที่อยู่บนพื้นผิวของช่องจมูก

สิ่งที่ทำให้มีการกลายพันธุ์ของยีนที่นำไปสู่การเกิดมะเร็งหลังโพรงจมูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแม้ว่าจะมีปัจจัย เช่น ไวรัส Epstein-Barr ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ก็ตาม และยังทราบแน่ชัดเจนว่า เหตุใดบางคนที่มีปัจจัยเสี่ยงไม่เคยเป็นมะเร็ง ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจนแต่กลับป่วยเป็นมะเร็ง

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งหลังโพรงจมูก

นักวิจัยได้ระบุถึงปัจจัยบางอย่าง ที่ดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโพรงจมูก รวมทั้ง:

เพศ มะเร็งโพรงหลังจมูกมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง

เชื้อชาติ มะเร็งชนิดนี้มักส่งผลกระทบต่อผู้คนในบางพื้นที่ของจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกาเหนือ ในสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้อพยพชาวเอเชียมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้มากกว่าชาวเอเชียที่เกิดในอเมริกา ชาวเอสกิโมใน    อลาสก้าก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก

อายุ  มะเร็งหลังโพรงจมูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย แต่มักได้รับการวินิจฉัยในผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี

อาหารที่มีเกลือ สารเคมีที่ปล่อยออกมาจากไอน้ำเมื่อปรุงอาหารที่มีเกลือ เช่นปลา และผักดอง อาจเข้าไปในโพรงจมูกและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโพรงจมูก การสัมผัสกับสารเคมีเหล่านี้ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจเพิ่มความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น

ไวรัสเอบสไตบาร์ (Epstein-Barr virus) ไวรัสที่พบบ่อยชนิดนี้ มักก่อให้เกิดอาการของโรคและอาการแสดงที่ไม่รุนแรงนัก เช่น โรคหวัด บางครั้งอาจทำให้เกิด โรคโมโนนิวคลิโอซิส (mononucleosis) ไวรัสเอบสไตบาร์ยังเชื่อมโยงกับมะเร็งที่หายากหลายชนิดรวมถึงมะเร็งหลังโพรงจมูกด้วย

ประวัติครอบครัว  ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้

การดื่มแอลกอฮอลและสบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่จัด สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งโพรงจมูก

Nasopharyngeal carcinoma

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งโพรงจมูก อาจรวมถึง:

  • มะเร็งที่เติบโตจนลุกลามไปสู่บริเวณใกล้เคียง  มะเร็งโพรงจมูกระยะลุกลาม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากโตขึ้นมากพอที่จะลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น ลำคอ กระดูก และสมอง

  • มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย  มะเร็งโพรงหลังจมูกมักแพร่กระจายเกินกว่าช่องจมูก คนส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกมีการแพร่กระจายไปบริเวณข้างเคียง นั่นหมายความว่าเซลล์มะเร็งจากเนื้องอกเริ่มต้นได้ย้ายตำแหน่งไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ

  • เซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย (การแพร่กระจายไกลออกไป) ส่วนใหญ่มักลุกลามไปที่กระดูก ปอด และตับ

การป้องกัน

ไม่มีวิธีที่แน่นอนในการป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูก อย่างไรก็ตามหากมีกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก อาจพิจารณาหลีกเลี่ยงนิสัยที่เกี่ยวข้องกับโรค เช่น ลดการกินอาหารที่ผ่านการถนอมอาหารด้วยเกลือ หรืองดกินอาหารเหล่านี้ไปเลย

การวินิจฉัย

การทดสอบเพื่อวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก

ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของโลกที่พบมะเร็งโพรงหลังจมูกได้บ่อย เช่น ในบางพื้นที่ของจีน แพทย์อาจเสนอให้มีการตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง ทั้งนี้การตรวจคัดกรองอาจเกี่ยวข้องกับการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาไวรัสเอบสไตบาร์

การทดสอบและขั้นตอนที่ใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูก ได้แก่:

  • การทดสอบทางกายภาพ  การวินิจฉัยมะเร็งหลังโพรงจมูกมักเริ่มจากการตรวจร่างกายทั่วไป แพทย์จะถามคำถามเกี่ยวกับอาการ โดยอาจกดที่คอเพื่อให้รู้สึกว่ามีต่อมน้ำเหลืองบวมหรือไม่

  • การทดสอบโดยการส่องกล้องเพื่อดูข้างในช่องจมูก หากสงสัยว่าเป็นมะเร็งหลังโพรงจมูก แพทย์อาจแนะนำให้ทำการส่องกล้องทางจมูก การทดสอบนี้ทำโดยใช้ท่อที่บางและยืดหยุ่นได้และมีกล้องอยู่ที่ส่วนปลายเพื่อส่องดูภายในช่องจมูกและมองหาความผิดปกติ อาจสอดกล้องเข้าไปทางจมูกหรือทางช่องเปิดที่ด้านหลังของลำคอซึ่งจะนำไปสู่ช่องจมูก การส่องกล้องทางจมูกอาจต้องใช้ยาชาเฉพาะที่

  • ทดสอบโดยการตัดตัวอย่างเซลล์ที่น่าสงสัย  แพทย์อาจใช้ endoscope หรือเครื่องมืออื่นในการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อขนาดเล็ก (biopsy) เพื่อตรวจหามะเร็ง

การทดสอบเพื่อกำหนดขอบเขตของมะเร็ง

เมื่อการวินิจฉัยได้รับการยืนยันแล้ว แพทย์จะสั่งให้ทำการทดสอบอื่นๆ เพื่อกำหนดขอบเขต (ระยะ) ของมะเร็ง เช่น การตรวจด้วยภาพ

การตรวจด้วยภาพอาจรวมถึง :

  • การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized tomography; CT)

  • การตรวจด้วยเครื่องตรวจแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic resonance imaging ; MRI)

  • การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (Positron emission tomography; PET)

  • การตรวจด้วยรังสีเอ็กซ์ (X-ray)

เมื่อแพทย์กำหนดขอบเขตของมะเร็งได้แล้ว จะมีการกำหนดตัวเลขโรมันที่แสดงถึงระยะของโรค ซึ่งระยะของมะเร็งหลังโพรงจมูกมีตั้งแต่ I ถึง IV

ใช้ระยะของมะเร็งนี้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ เพื่อกำหนดแผนการรักษาและการพยากรณ์โรค ตัวเลขที่ต่ำกว่าหมายความว่ามะเร็งมีขนาดเล็กและจำกัดอยู่ที่ช่องจมูก ตัวเลขที่สูงขึ้นหมายถึงมะเร็งแพร่กระจายเกินกว่าโพรงจมูกไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอ หรือบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย

การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูก

ผู้ป่วยและแพทย์จะวางแผนการรักษาร่วมกัน โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ระยะของมะเร็ง เป้าหมายการรักษาสุขภาพโดยรวม และผลข้างเคียง ที่ผู้ป่วยเต็มใจที่จะยอมรับ

การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูกมักเริ่มต้นด้วยการฉายรังสี หรือการฉายรังสีร่วมกับเคมีบำบัด

รังสีรักษา (Radiation therapy)

การรักษาด้วยรังสี ใช้ลำแสงพลังงานสูง เช่น รังสีเอกซ์ หรือโปรตอนเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง

การรักษาด้วยการฉายรังสีสำหรับมะเร็งหลังโพรงจมูก มักใช้ในขั้นตอนที่เรียกว่า การฉายรังสีจากภายนอก ในระหว่างขั้นตอนนี้ผู้ป่วยจะอยู่ในตำแหน่งบนโต๊ะและมีเครื่องจักรขนาดใหญ่เคลื่อนที่อยู่รอบๆ ตัว ทำให้รังสีแผ่ไปยังจุดที่ซึ่งกำหนดเป้าหมายเป็นมะเร็งได้อย่างแม่นยำ

สำหรับเนื้องอกในโพรงจมูกขนาดเล็ก การรักษาด้วยรังสีอาจเป็นวิธีการรักษาเดียวที่จำเป็น แต่ในสถานการณ์อื่นๆ อาจใช้การฉายรังสีร่วมกับเคมีบำบัด

การรักษาด้วยการฉายรังสีมีความเสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียง ได้แก่ ผิวหนังแดงชั่วคราว สูญเสียการได้ยิน และปากแห้ง

การฉายรังสีภายในชนิดหนึ่งเรียกว่า การฝังแร่กัมมันตรังสี (brachytherapy) บางครั้งใช้ในมะเร็งโพรงจมูกที่เกิดซ้ำ ด้วยการรักษานี้เมล็ดหรือสายกัมมันตภาพรังสีจะอยู่ในตำแหน่งของเนื้องอกหรืออยู่ใกล้กันมาก

การรักษาด้วยการฉายรังสีที่ศีรษะและลำคอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่วมกับเคมีบำบัด มักทำให้เกิดแผลในลำคอและปากอย่างรุนแรง บางครั้งแผลเหล่านี้ทำให้กินอาหารหรือดื่มน้ำได้ยาก ในกรณีนี้แพทย์อาจแนะนำให้สอดท่อเข้าไปในลำคอหรือท้อง อาหารและน้ำจะถูกส่งผ่านท่อจนกว่าปากและคอของผู้รับการรักษาจะฟื้นตัว

การรักษาด้วย เคมีบำบัด (Chemotherapy)

เคมีบำบัดเป็นการรักษาด้วยยาที่ใช้สารเคมีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง

การรักษาที่ใช้สารเคมีในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ยาเคมีบำบัดสามารถให้ได้ในรูปแบบเม็ดโดยให้ทางหลอดเลือดดำหรือทั้งสองอย่าง

 ยาเคมีบำบัดอาจใช้เพื่อรักษามะเร็งโพรงจมูกได้ 3 วิธี:

  • เคมีบำบัดในเวลาเดียวกับการฉายรังสี  เมื่อให้การรักษาทั้งสองแบบร่วมกัน เคมีบำบัดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาด้วยรังสี การรักษาแบบผสมผสานนี้ เรียกว่า การบำบัดร่วมกัน หรือการทำเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของเคมีบำบัดร่วมกับผลข้างเคียงของการฉายรังสี จะทำให้ผู้รับการรบำบัดร่วมกันทาต่อการรักษาได้ยากขึ้น

  • เคมีบำบัดหลังการฉายรังสี  แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทำเคมีบำบัดหลังการฉายรังสีหรือหลังการบำบัดร่วมกัน

ยาเคมีบำบัดใช้เพื่อโจมตีเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่ในร่างกายของคุณรวมถึงเซลล์ที่อาจแตกออกจากเนื้องอกเดิมและแพร่กระจายไปที่อื่น

มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าการให้เคมีบำบัดเพิ่มเติม ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ที่เป็นมะเร็งโพรงจมูกหรือไม่ เนื่องจากหลายคนที่ได้รับเคมีบำบัดหลังการบำบัดร่วมกันจะไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงได้ และต้องยุติการรักษา

  • เคมีบำบัดก่อนฉายรังสี  การรักษาด้วยเคมีบำบัดแบบนีโอแอดจูแวนท์ คือการรักษาด้วยเคมีบำบัดก่อนการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว หรือก่อนการรักษาร่วมกัน  จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่ายาเคมีบำบัดชนิดนีโอแอดจูแวนท์สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในผู้ที่เป็นมะเร็งโพรงจมูกได้หรือไม่

ชนิดใดของยาเคมีบำบัดที่ผู้ป่วยจะได้รับ ความถี่ที่แพทย์จะพิจารณา และผลข้างเคียงที่คาดว่าน่าจะพบ ขึ้นอยู่กับยาที่ผู้ป่วยได้รับ

การผ่าตัด

การรักษามะเร็งหลังโพรงจมูกมักไม่ใช้การผ่าตัด แต่อาจใช้วิธีผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่เป็นมะเร็งที่คอออก

ในบางครั้ง การผ่าตัดอาจทำโดยตัดเอาเนื้องอกออกจากช่องจมูก โดยปกติจะต้องให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดที่เพดานปาก เพื่อให้เข้าถึงบริเวณนั้นเพื่อตัดเอาเนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็งออก

ภาวะแทรกซ้อนมะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งโพรงจมูก (NPC) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดในช่องจมูก ซึ่งเป็นส่วนบนของลำคอด้านหลังจมูก ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งโพรงหลังจมูกสามารถเกิดขึ้นได้จากตัวมะเร็ง การรักษา หรือผลกระทบต่อโครงสร้างบริเวณใกล้เคียง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้:
  • การแพร่กระจายเฉพาะที่ : มะเร็งโพรงหลังจมูกสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อและโครงสร้างโดยรอบ เช่น ฐานกะโหลกศีรษะ ไซนัส และหลอดเลือดบริเวณใกล้เคียง การบุกรุกนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ความผิดปกติของเส้นประสาทสมอง (เช่น เส้นประสาทใบหน้าเป็นอัมพาต) ความเจ็บปวด และปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของประสาทสัมผัส
  • การแพร่กระจาย : หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทางกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดเนื้องอกระยะลุกลามในอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด กระดูก หรือตับ การแพร่กระจายเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการเฉพาะต่ออวัยวะที่ได้รับผลกระทบและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
  • ปัญหาการอุดตันและทางเดินหายใจ : เนื้องอกขนาดใหญ่ในช่องจมูกอาจไปขัดขวางทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหายใจลำบาก การติดเชื้อบ่อยครั้ง และภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจอื่นๆ
  • ปัญหาการได้ยินและความสมดุล : เนื้องอกในช่องจมูกอาจส่งผลต่อท่อยูสเตเชียนและหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยิน การติดเชื้อในหู และปัญหาการทรงตัว
  • ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีและเคมีบำบัด : การรักษามาตรฐานสำหรับมะเร็งโพรงหลังจมูกมักเกี่ยวข้องกับการฉายรังสีและเคมีบำบัด แม้ว่าการรักษาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ความเหนื่อยล้า คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง การระคายเคืองผิวหนัง และความเสียหายต่อเซลล์ที่แข็งแรง
  • ความยากลำบากในการกลืน : เนื้องอกในช่องจมูกอาจส่งผลต่อความสามารถในการกลืน ทำให้เกิดความยากลำบากในการรับประทานอาหารและดื่ม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะทุพโภชนาการและการลดน้ำหนักได้
  • ผลกระทบทางจิตและอารมณ์ : การวินิจฉัยโรคมะเร็งและการรักษาอาจมีผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ป่วย ความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และความเครียดเป็นภาวะแทรกซ้อนทางจิตใจที่พบบ่อย
  • อาการบวมน้ำที่ต่อมน้ำเหลือง : ต่อมน้ำเหลืองที่คออาจได้รับผลกระทบจากมะเร็งหรือการรักษา ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำเหลือง ซึ่งเป็นภาวะที่มีอาการบวมเนื่องจากการระบายน้ำเหลืองบกพร่อง
  • มะเร็งทุติยภูมิ : การรักษาบางอย่าง โดยเฉพาะการฉายรังสี มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดมะเร็งทุติยภูมิในระยะยาว
  • การรบกวนของฮอร์โมน : ช่องจมูกอยู่ใกล้กับต่อมใต้สมองซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมฮอร์โมน เนื้องอกหรือการรักษาสามารถรบกวนการทำงานของต่อมใต้สมอง ทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือไม่ใช่ทุกคนที่เป็นมะเร็งโพรงหลังจมูกจะประสบกับภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ และความรุนแรงอาจแตกต่างกันไป การจัดการภาวะแทรกซ้อนมักเกี่ยวข้องกับแนวทางแบบสหสาขาวิชาชีพ รวมถึงแพทย์ด้านเนื้องอกวิทยา แพทย์รังสีวิทยา ศัลยแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลแบบประคับประคอง เพื่อจัดการกับความท้าทายทางร่างกาย อารมณ์ และการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับโรคและการรักษา

นี่คือแหล่งที่มาในของบทความของเรา 


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด