แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid Scars) : อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา
เมื่อผิวหนัง (Keliod Scars) คือการรับบาดเจ็บเนื้อเยื่อที่เรียกว่า เนื้อเยื่อแผลเป็นจะก่อตัวขึ้นเหนือบาดแผล เพื่อซ่อมแซม และป้องกันการบาดเจ็บ บางครั้งเนื้อเยื่อนั้นจะก่อตัวและเจริญขึ้นเป็นลักษณะเรียบแข็ง เราเรียกว่า แผลเป็นคีลอยด์
แผลเป็นคีลอยด์ หรือแผลเป็นแข็งอาจมีขนาดใหญ่กว่าแผลเดิมมาก พบได้บ่อยที่หน้าอก ไหล่ ติ่งหู และแก้ม อย่างไรก็ตามแผลเป็นคีลอยด์ อาจพบในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
แม้ว่าแผลเป็นคีลอยด์จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็สร้างความไม่พึงพอใจ ในเรื่องความสวยงามได้
ลักษณะของแผลเป็นคีลอยด์
แผลเป็นคีลอยด์เกิดการเติบโตของเนื้อเยื่อแผลเป็น แผลเป็นคีลอยด์มักจะมีขนาดใหญ่กว่าแผลเดิม และใช้เวลาในการพัฒนานานถึงหลายสัปดาห์
อาการของแผลเป็นคีลอยด์มีดังนี้
- แผลเป็นมีเนื้อสีชมพูหรือสีแดง
- แผลเป็นนูนขึ้น
- แผลเป็นขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- คันบริเวณแผลเป็น
แม้ว่าแผลเป็นคีลอยด์จะทำให้มีอาการคัน แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของ อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวหรือระคายเคืองบ้าง เมื่อแผลเป็นสัมผัสกับเสื้อผ้า
แผลเป็นคีลอยด์สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในร่างกาย แต่ไม่ได้พบได้ง่ายนัก เมื่อเกิดจะทำให้แผลเป็นนั้นมีลักษณะแข็ง
แผลเป็นคีลอยด์ไม่ใช่ปัญหาด้านสุขภาพ แต่เป็นปัญหาเรื่องความสวยงามบนร่างกาย อาจทำให้กังวลได้หากเกิดในบริเวณติ่งหูหรือใบหน้าที่มองเห็นได้ชัดเจน
สาเหตุของแผลเป็นคีลอยด์
การได้รับบาดเจ็บที่สามารถทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้แก่
- รอยแผลเป็นจากสิว
- แผลไฟไหม้
- แผลเป็นอีสุกอีใส
- เจาะหู
- รอยขีดข่วน
- แผลจากการผ่าตัด
- แผลจากการฉีดวัคซีน
โดยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มีแผลเหล่านี้ พบว่า เป็นแผลเป็นคีลอยด์ ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเป็นแผลเป็นคีลอยด์เท่า ๆ กัน แต่คนที่มีโทนสีผิวเข้มมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลเป็นคีลอยด์ได้มากกว่า
ความเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้แก่
- เชื้อสายเอเชีย
- มีเชื้อสายลาติน
- สตรีตั้งครรภ์
- อายุน้อยกว่า 30 ปี
แผลเป็นคีลอยด์มีแนวโน้มที่จะสืบทอดทางพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณมีพ่อหรือแม่ที่เป็นแผลเป็นคีลอยด์คุณก็มีความเสี่งที่จะเป็นแผลเป็นคีลอยด์ได้
จากการศึกษาพบว่า ยีนที่เรียกว่ายีน AHNAK มีบทบาทในการพัฒนาแผลเป็นคีลอยด์ นักวิจัยพบว่า คนที่มียีน AHNAK มีความเสี่ยงที่เป็นแผลเป็นคีลอยด์มากกว่าคนที่ไม่มี
หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ ต้องหลีกเลี่ยงการเจาะตามร่างกาย การผ่าตัดที่ไม่จำเป็น และการสัก
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยตนเอง
วิธีรักษาแผลคีลอยด์อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะแผลเป็นคีลอยด์เป็นผลมาจากการที่ร่างกายพยายามซ่อมแซมตัวเอง หลังจากเอาแผลเป็นคีลอยด์ออกไปแล้ว เนื้อเยื่อแผลเป็นก็อาจกลับมาเติบโตอีกครั้งและบางครั้งก็กลับมามีขนาดใหญ่กว่าเดิม
ก่อนดำเนินการแก้ไขแผลเป็นคีลอยด์ด้วยวิธีการทางการแพทย์ให้ลองพิจารณาการรักษาด้วยตนเองที่บ้าน น้ำมันให้ความชุ่มชื้นที่มีจำหน่ายทั่วไปสามารถช่วยให้เนื้อเยื่ออ่อนนุ่มลง สิ่งเหล่านี้อาจช่วยลดขนาดของแผลเป็น และแผลเป็นคีลอยด์มีโอกาสจะหดตัว และราบเรียบเมื่อเวลาผ่านไป แม้ไม่ได้รับการรักษาจากแพทย์ก็ตาม
เบื้องต้นแพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาเช่นการใช้แผ่นซิลิโคนใส่แผลกดทับ หรือการฉีดยาหากเป็นแผลเป็นคีลอยด์ใหม่ๆ การรักษาเหล่านี้ต้องใช้บ่อย และระมัดระวัง ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อย 3 เดือน จึงจะเห็นผลลัพธ์
การศัลยกรรมแผลเป็นคีลอยด์
ในกรณีที่แผลเป็นคีลอยด์มีขนาดใหญ่มาก หรือแผลเป็นคีลอยด์ที่เป็นมานานมาก แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดออก อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการผ่าตัดเอาแผลเป็นคีลอยด์ขนาดใหญ่ออกมีมากกว่าความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นหลังการผ่าตัด
การรักษาด้วยความเย็นเป็นวิธีการผ่าตัดแผลเป็นคีลอยด์ที่ได้ผลดีที่สุด เราเรียกวิธีนี้ว่า Cryotherapy กระบวนการนี้ทำงานโดยการ “แช่แข็ง” เอาแผลเป็นคีลอยด์ออกไปด้วยไนโตรเจนเหลว
แพทย์จะฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์หลังการผ่าตัด เพื่อลดการอักเสบและลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นแผลเป็นคีลอยด์
การรักษาแผลเป็นคีลอยด์ด้วยเลเซอร์
สำหรับแผลเป็นคีลอยด์หรือแผลเป็นบางประเภท แพทย์จะแนะนำการรักษาด้วยเลเซอร์ การรักษาแบบนี้จะทำให้ผิวบริเวณนั้นสว่างขึ้น และดูเรียบเนียน
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้แผลเป็นคีลอยด์แย่ลงโดยทำให้เกิดแผลเป็น และรอยแดง แม้ว่าบางครั้งผลข้างเคียงเหล่านี้จะดีกว่าแผลเป็นเดิม การรักษาด้วยเลเซอร์นั้นสามารถใช้ในแผลเป็นประเภทอื่นๆ ได้อีกด้วย
นี่คือที่มาของแหล่งบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/live-well/healthy-body/keloid-scars/
- https://www.health.harvard.edu/a_to_z/keloids-a-to-z
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5372622/
- https://muschealth.org/medical-services/ent/fprs/scar
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team