ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร

ไวรัสตับอักเสบบี (Heptatitis B)  คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus : HBV) ซึ่งไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในห้าชนิดของตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ, ซี, ดี และอี โดยแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสที่แตกต่างกัน ซึ่งไวรัสชนิดบีและซีมักเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถเป็นได้ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง

เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลัน ดังนั้นจึงมีอาการแสดงออกอย่างรวดเร็วในผู้ใหญ่ หากเด็กทารกเกิดการติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด โอกาสในการพัฒนาเป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมีน้อยมาก โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในทารกเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นชนิดเรื้อรัง

การพัฒนาของโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังเกิดอย่างช้าๆ ทำให้ไม่สามารถสังเกตอาการได้อย่างชัดเจน ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อหรือไม่

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อที่มีโอกาสติดสูงมาก เนื่องด้วยเกิดจากแพร่กระจายผ่านการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ แม้ว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถพบได้ในน้ำลาย แต่เชื้อไวรัสดังกล่าวไม่แพร่กระจายผ่านการใช้ของใช้ร่วมกัน หรือการจูบกัน อีกทั้งยังไม่แพร่กระจายผ่านการไอจาม หรือการให้นมบุตร โดยอาการของไวรัสตับอักเสบบีอาจจะไม่แสดงภายใน 3 เดือนภายหลังการสัมผัสเชื้อ และสามารถอยู่ได้นาน 2-12 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามคุณก็ยังเป็นโรคติดต่อที่ไม่มีอาการแสดง โดยเชื้อไวรัสสามารถอาศัยอยู่นอกร่างกายได้นานถึง 7 วัน

สาเหตุการแพร่กระจายเชื้อมีดังนี้:

  • สัมผัสเลือดที่มีการติดเชื้อโดยตรง

  • ติดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอด

  • การสัมผัสเข็มที่มีเชื้อ

  • สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก, อวัยวะเพศ และทวารหนัก

  • การใช้มีดโกน หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆที่มีของเหลวที่ติดเชื้อปนเปื้อนอยู่

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง ได้แก่:

  • บุคลากรทางการแพทย์
  • กลุ่มชายรักชาย
  • ผู้ที่ใช้ยาทางหลอดเลือดดำ
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • คนที่ไปเที่ยวในประเทศที่มีอุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง
Hepatitis B
  • อาการของไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง

ไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมักไม่แสดงอาการในช่วงเดือนแรก อย่างไรก็ตาม อาการโดยทั่วไปมีดังนี้:

บางอาการของไวรัสตับอักเสบบี จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการสัมผัสเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและพยายามป้องกันการติดเชื้อดังกล่าวได้

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยการตรวจเลือด การคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีอาจจะแนะนำในบุคคลดังต่อไปนี้ :

  • การสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

  • การท่องเที่ยวในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบบี

  • เคยติดคุก

  • การฉีดยาผ่านทางหลอดเลือดดำ

  • ได้รับการฟอกเลือด

  • การตั้งครรถ์

  • ชายรักชาย

  • ติดเชื้อ HIV

สำหรับการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี แพทย์จะเตรียมเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจเป็นชุดตรวจเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบบี

การทดสอบแอนติเจนที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี

การทดสอบแอนติเจนที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบีจะแสดงว่าคุณติดเชื้อหรือไม่ หากผลเป็นบวกหมายความว่าคุณมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ หากผลเป็นลบหมายความว่าตอนนี้คุณยังไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการติดเชื้อชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง อีกทั้งการทดสอบดังกล่าวยังต้องอาศัยผลการตรวจไวรัสตับอักเสบบีอย่างอื่นร่วมด้วย เพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี

การทดสอบแอนติเจนหลักของไวรัสตับอักเสบบี

การทดสอบแอนติเจนหลักของไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจสอบเพื่อค้นหาว่าคุณกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่หรือไม่ หากผลเป็นบวกหมายความว่าคุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังหรือคุณกำลังฟื้นตัวจากโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลัน

การทดสอบสารภูมิต้านทานที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี

การทดสอบสารภูมิต้านทานที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากผลเป็นบวกแสดงว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยความเป็นไปได้สองอย่างคือ คุณเคยได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแล้ว หรือเพิ่งหายจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันได้ไม่นาน

การตรวจการทำงานของตับ

การตรวจการทำงานของตับเป็นสิ่งตรวจที่สำคัญสำหรับผู้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงโรคตับชนิดอื่นๆ โดยการตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณเอนไซม์ที่สร้างจากตับ หากพบเอนไซม์ในระดับที่สูงกว่าปกติ แสดงว่าตับกำลังถูกทำลายหรือเกิดการอักเสบขึ้น ดังนั้นการตรวจการทำงานของตับจึงสามารถตรวจหาความผิดปกติได้

หากการตรวจตับแสดงผลเป็นบวก คุณอาจจะต้องทำการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี หรือโรคตับติดเชื้ออย่างอื่นเพิ่มเติม เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับของประชากรทั่วโลกถูกทำลาย ดังนั้นคุณจึงควรเข้ารับตรวจอัลตราซาวน์ตับหรือตรวจร่างกายด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย

วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และอิมมูนโกลบูลิน(immune globulin)

ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการสัมผัสเชื้อไวรัสตับอักเสบบีโดยเร็วที่สุด หากคุณคิดว่าเคยสัมผัสเชื้อภายใน 24 ชม. ถ้าไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและอิมมูนโกลบูลินแล้ว ดังนั้นร่างกายจึงสามารถสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีได้

ทางเลือกในการรักษาไวรัสตับอักเสบบี

โดยปกติไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมักไม่จำเป็นต้องรักษา ผู้คนส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง ด้วยการพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยทำให้ร่างกายดีขึ้นได้

ยาต้านไวรัสนำมาใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง เพื่อช่วยต่อสู้กับไวรัสและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเเทรกซ้อนที่ตับในอนาคตได้

คุณอาจจำเป็นต้องเข้ารับการปลูกถ่ายตับ หากไวรัสตับอักเสบบีทำลายตับของคุณอย่างรุนแรง โดยวิธีการปลูกถ่ายตับหมายถึงการที่ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาตับของคุณออกมาแล้วใส่ตับของผู้บริจาคเข้าไปแทน ซึ่งเป็นตับที่ได้รับมาจากการบริจาคของผู้ที่เสียชีวิตแล้ว

ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบบี

ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดกับไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง เช่น:

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีเกิดกับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น โดยไวรัสตับอักเสบดีเป็นการติดเชื้อที่ผิดปกติในสหรัฐอเมริกาและยังนำไปสู่การเกิดโรคตับเรื้อรังได้

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีคือทางป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุด โดยต้องฉีดวัคซีนถึงสามครั้งเพื่อให้ครบชุด สำหรับผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี มีดังนี้:

  • ทารกทุกคน เมื่อแรกเกิด

  • เด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด

  • ผู้ใหญ่ที่กำลังรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ถูกจัดให้

  • ผู้ที่ทำงานสัมผัสกับเลือด

  • ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี

  • กลุ่มชายรักชาย

  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน

  • ผู้ที่ใช้ยาฉีด

  • มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง

  • คนที่ไปเที่ยวในพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นโรคไวรัสตับอัดเสบบีสูง

กล่าวอีกคือทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เพราะเป็นวัคซีนที่มีราคาถูกและปลอดภัยมาก

นอกจากนี้ยังมีทางอื่นในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยคุณควรขอให้คู่นอนเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ช่องคลอด หรือออรัลเซ็กส์ หลีกเลี่ยงการใช้ยา หากคุณไปเที่ยวต่างประเทศควรตรวจสถานที่ปลายทางว่ามีอุบัติการณ์ของไวรัสตับอักเสบบีสูงหรือไม่ รวมถึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับวัคซีนครบถ้วนก่อนเดินทาง

อาหารที่ควรรับประทานเมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบบี

โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม รวมถึงการสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันสำหรับผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี แม้ว่าโภชนาการเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีได้ แต่การรับประทานอาหารที่สมดุลและดีต่อสุขภาพสามารถช่วยจัดการกับอาการต่างๆ สนับสนุนสุขภาพตับ และปรับปรุงความเป็นอยู่โดยรวม  ต่อไปนี้เป็นแนวทางการบริโภคอาหารทั่วไปสำหรับบุคคลที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี:
  • รักษาสมดุลอาหาร: มุ่งเน้นไปที่การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารหลากหลายจากอาหารทุกกลุ่ม การรับประทานอาหารอย่างสมดุลช่วยให้แน่ใจว่าคุณได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารหลักที่จำเป็นทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ
  • แคลอรี่ที่เพียงพอ: ร่างกายของคุณต้องการพลังงานเพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง และผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีอาจต้องการแคลอรี่เพิ่มเติมหากต้องรับมือกับอาการต่างๆ เช่น ความเหนื่อยล้า เลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและแคลอรี่สูง เช่น ถั่ว เมล็ดพืช อะโวคาโด และธัญพืชไม่ขัดสี
  • โปรตีนคุณภาพสูง:โปรตีนมีความสำคัญต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน รวมแหล่งโปรตีนไร้มัน เช่น เนื้อสัตว์ปีก ปลา เต้าหู้ ถั่ว ถั่วเลนทิล และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ
  • ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ:เลือกใช้ไขมันที่ดีต่อสุขภาพจากแหล่งต่างๆ เช่น อะโวคาโด ถั่ว เมล็ดพืช น้ำมันมะกอก และปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล) ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ในการลดการอักเสบ
  • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน:เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เมล็ดธัญพืช (ข้าวกล้อง ข้าวสาลีทั้งเมล็ด) ผลไม้ ผัก และพืชตระกูลถั่ว สิ่งเหล่านี้ให้พลังงานและเส้นใยที่ยั่งยืน ซึ่งสนับสนุนการย่อยอาหารและช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
  • จำกัดอาหารแปรรูป:ลดการบริโภคอาหารแปรรูป ของว่างที่มีน้ำตาล และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุด สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอักเสบและอาจทำให้ตับเครียดได้
  • ปริมาณเกลือปานกลาง:ปริมาณเกลือที่มากเกินไปอาจนำไปสู่การกักเก็บของเหลวและส่งผลเสียต่อความดันโลหิต ตั้งเป้าที่จะลดปริมาณเกลือโดยหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปที่มีโซเดียมสูง และใช้สมุนไพรและเครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • รักษาความชุ่มชื้น:การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและช่วยให้ร่างกายกำจัดสารพิษ ตั้งเป้าดื่มน้ำประมาณ 8 แก้วต่อวัน เว้นแต่แพทย์จะแนะนำปริมาณที่แตกต่างออกไป
  • วิตามินและแร่ธาตุ:ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยบำรุงตับ เช่น วิตามินอี วิตามินซี ซีลีเนียม และสังกะสี พบได้ในผลไม้ ผัก ถั่ว และเมล็ดพืชต่างๆ
  • แอลกอฮอล์และคาเฟอีน:หากคุณเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี แนะนำให้หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และจำกัดการบริโภคคาเฟอีน ทั้งแอลกอฮอล์และคาเฟอีนที่มากเกินไปอาจทำให้ตับเกิดความเครียดมากขึ้น
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ:สถานการณ์ของแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งสำคัญคือต้องทำงานร่วมกับผู้ให้บริการด้านการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโภชนาการหรือนักโภชนาการที่มีประสบการณ์ด้านสุขภาพตับ เพื่อสร้างแผนโภชนาการส่วนบุคคลตามความต้องการเฉพาะของคุณและยาใดๆ ที่คุณอาจรับประทานอยู่
โปรดจำไว้ว่าโรคไวรัสตับอักเสบบีอาจมีความรุนแรงและผลกระทบต่อบุคคลที่แตกต่างกันออกไป ปรึกษากับผู้ให้บริการดูแลสุขภาพของคุณก่อนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการรับประทานอาหารของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาอยู่

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.cdc.gov/hepatitis/hbv/index.htm

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hepatitis-b/symptoms-causes/syc-20366802

  • https://www.webmd.com/hepatitis/digestive-diseases-hepatitis-b

  • https://www.nhs.uk/conditions/hepatitis-b/


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด