ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร
ไวรัสตับอักเสบบี (Heptatitis B) คือ ภาวะที่ตับเกิดการอักเสบจากไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus : HBV) ซึ่งไวรัสตับอักเสบบีเป็นหนึ่งในห้าชนิดของตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ, ซี, ดี และอี โดยแต่ละชนิดเกิดจากเชื้อไวรัสที่แตกต่างกัน ซึ่งไวรัสชนิดบีและซีมักเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถเป็นได้ทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลัน ดังนั้นจึงมีอาการแสดงออกอย่างรวดเร็วในผู้ใหญ่ หากเด็กทารกเกิดการติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด โอกาสในการพัฒนาเป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมีน้อยมาก โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในทารกเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นชนิดเรื้อรัง
การพัฒนาของโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังเกิดอย่างช้าๆ ทำให้ไม่สามารถสังเกตอาการได้อย่างชัดเจน ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อหรือไม่
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคติดต่อที่มีโอกาสติดสูงมาก เนื่องด้วยเกิดจากแพร่กระจายผ่านการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ แม้ว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถพบได้ในน้ำลาย แต่เชื้อไวรัสดังกล่าวไม่แพร่กระจายผ่านการใช้ของใช้ร่วมกัน หรือการจูบกัน อีกทั้งยังไม่แพร่กระจายผ่านการไอจาม หรือการให้นมบุตร โดยอาการของไวรัสตับอักเสบบีอาจจะไม่แสดงภายใน 3 เดือนภายหลังการสัมผัสเชื้อ และสามารถอยู่ได้นาน 2-12 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามคุณก็ยังเป็นโรคติดต่อที่ไม่มีอาการแสดง โดยเชื้อไวรัสสามารถอาศัยอยู่นอกร่างกายได้นานถึง 7 วัน
สาเหตุการแพร่กระจายเชื้อมีดังนี้:
-
สัมผัสเลือดที่มีการติดเชื้อโดยตรง
-
ติดจากแม่สู่ลูกระหว่างคลอด
-
การสัมผัสเข็มที่มีเชื้อ
-
สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
-
การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก, อวัยวะเพศ และทวารหนัก
-
การใช้มีดโกน หรือของใช้ส่วนตัวอื่นๆที่มีของเหลวที่ติดเชื้อปนเปื้อนอยู่
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง ได้แก่:
- บุคลากรทางการแพทย์
- กลุ่มชายรักชาย
- ผู้ที่ใช้ยาทางหลอดเลือดดำ
- ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
- ผู้ที่เป็นโรคตับเรื้อรัง
- ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- คนที่ไปเที่ยวในประเทศที่มีอุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสูง

- อาการของไวรัสตับอักเสบบีมีอะไรบ้าง
ไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมักไม่แสดงอาการในช่วงเดือนแรก อย่างไรก็ตาม อาการโดยทั่วไปมีดังนี้:
บางอาการของไวรัสตับอักเสบบี จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงในผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการสัมผัสเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและพยายามป้องกันการติดเชื้อดังกล่าวได้
การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี
แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบบีโดยการตรวจเลือด การคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีอาจจะแนะนำในบุคคลดังต่อไปนี้ :
-
การสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
-
การท่องเที่ยวในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบบี
-
เคยติดคุก
-
การฉีดยาผ่านทางหลอดเลือดดำ
-
ได้รับการฟอกเลือด
-
การตั้งครรถ์
-
ชายรักชาย
สำหรับการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี แพทย์จะเตรียมเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจเป็นชุดตรวจเฉพาะสำหรับไวรัสตับอักเสบบี
การทดสอบแอนติเจนที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี
การทดสอบแอนติเจนที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบีจะแสดงว่าคุณติดเชื้อหรือไม่ หากผลเป็นบวกหมายความว่าคุณมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสได้ หากผลเป็นลบหมายความว่าตอนนี้คุณยังไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งการทดสอบดังกล่าวยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการติดเชื้อชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง อีกทั้งการทดสอบดังกล่าวยังต้องอาศัยผลการตรวจไวรัสตับอักเสบบีอย่างอื่นร่วมด้วย เพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
การทดสอบแอนติเจนหลักของไวรัสตับอักเสบบี
การทดสอบแอนติเจนหลักของไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจสอบเพื่อค้นหาว่าคุณกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่หรือไม่ หากผลเป็นบวกหมายความว่าคุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังหรือคุณกำลังฟื้นตัวจากโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลัน
การทดสอบสารภูมิต้านทานที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบี
การทดสอบสารภูมิต้านทานที่พื้นผิวของไวรัสตับอักเสบบีเป็นการตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากผลเป็นบวกแสดงว่าคุณมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยความเป็นไปได้สองอย่างคือ คุณเคยได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแล้ว หรือเพิ่งหายจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันได้ไม่นาน
การตรวจการทำงานของตับ
การตรวจการทำงานของตับเป็นสิ่งตรวจที่สำคัญสำหรับผู้เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี รวมถึงโรคตับชนิดอื่นๆ โดยการตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจเลือดเพื่อหาปริมาณเอนไซม์ที่สร้างจากตับ หากพบเอนไซม์ในระดับที่สูงกว่าปกติ แสดงว่าตับกำลังถูกทำลายหรือเกิดการอักเสบขึ้น ดังนั้นการตรวจการทำงานของตับจึงสามารถตรวจหาความผิดปกติได้
หากการตรวจตับแสดงผลเป็นบวก คุณอาจจะต้องทำการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบซี หรือโรคตับติดเชื้ออย่างอื่นเพิ่มเติม เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับของประชากรทั่วโลกถูกทำลาย ดังนั้นคุณจึงควรเข้ารับตรวจอัลตราซาวน์ตับหรือตรวจร่างกายด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
วิธีรักษาไวรัสตับอักเสบบี
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และอิมมูนโกลบูลิน(immune globulin)
ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการสัมผัสเชื้อไวรัสตับอักเสบบีโดยเร็วที่สุด หากคุณคิดว่าเคยสัมผัสเชื้อภายใน 24 ชม. ถ้าไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีและอิมมูนโกลบูลินแล้ว ดังนั้นร่างกายจึงสามารถสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบีได้
ทางเลือกในการรักษาไวรัสตับอักเสบบี
โดยปกติไวรัสตับอักเสบบีชนิดเฉียบพลันมักไม่จำเป็นต้องรักษา ผู้คนส่วนใหญ่จะสามารถหายได้เอง ด้วยการพักผ่อนและดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยทำให้ร่างกายดีขึ้นได้
ยาต้านไวรัสนำมาใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง เพื่อช่วยต่อสู้กับไวรัสและลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะเเทรกซ้อนที่ตับในอนาคตได้
คุณอาจจำเป็นต้องเข้ารับการปลูกถ่ายตับ หากไวรัสตับอักเสบบีทำลายตับของคุณอย่างรุนแรง โดยวิธีการปลูกถ่ายตับหมายถึงการที่ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาตับของคุณออกมาแล้วใส่ตับของผู้บริจาคเข้าไปแทน ซึ่งเป็นตับที่ได้รับมาจากการบริจาคของผู้ที่เสียชีวิตแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบบี
ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดกับไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง เช่น:
-
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดี
-
เกิดแผลเป็นที่ตับ (โรคตับแข็ง)
-
ตับวาย
-
เสียชีวิต
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบดีเกิดกับผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีเท่านั้น โดยไวรัสตับอักเสบดีเป็นการติดเชื้อที่ผิดปกติในสหรัฐอเมริกาและยังนำไปสู่การเกิดโรคตับเรื้อรังได้
การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีคือทางป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุด โดยต้องฉีดวัคซีนถึงสามครั้งเพื่อให้ครบชุด สำหรับผู้ที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี มีดังนี้:
-
ทารกทุกคน เมื่อแรกเกิด
-
เด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
-
ผู้ใหญ่ที่กำลังรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
-
ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่ที่ถูกจัดให้
-
ผู้ที่ทำงานสัมผัสกับเลือด
-
ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี
-
กลุ่มชายรักชาย
-
ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
-
ผู้ที่ใช้ยาฉีด
-
มีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี
-
ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง
-
คนที่ไปเที่ยวในพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นโรคไวรัสตับอัดเสบบีสูง
กล่าวอีกคือทุกคนควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เพราะเป็นวัคซีนที่มีราคาถูกและปลอดภัยมาก
นอกจากนี้ยังมีทางอื่นในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยคุณควรขอให้คู่นอนเข้ารับการตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ใช้ถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ช่องคลอด หรือออรัลเซ็กส์ หลีกเลี่ยงการใช้ยา หากคุณไปเที่ยวต่างประเทศควรตรวจสถานที่ปลายทางว่ามีอุบัติการณ์ของไวรัสตับอักเสบบีสูงหรือไม่ รวมถึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับวัคซีนครบถ้วนก่อนเดินทาง
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/hepatitis-b/symptoms-causes/syc-20366802
-
https://www.webmd.com/hepatitis/digestive-diseases-hepatitis-b
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team