ไอและมีเสมหะ (Coughing With Phlegm) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ไอมีเสมหะเป็นอย่างไร

การไอมีเสมหะ (Coughing with Phlegm) เป็นภาวะของความเจ็บและเป็นโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลไกที่ร่างกายตอบสนองต่อการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ เมื่อเกิดการระคายเคือง เช่น ฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ มลพิษหรือควัน เข้าสู่ทางเดินหายใจ ตัวรับพิเศษจะแจ้งไปยังสมองว่ามีตัวทำให้ระคายเคืองอยู่ และจะมีอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ จากนั้น สมองจะสัญญาณผ่านไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้อในหน้าอกและหน้าท้อง เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณนี้หดตัวอย่างรวดเร็ว จะขับอากาศออกผ่านทางระบบทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอที่ช่วยให้ขับสิ่งระคายเคืองที่เป็นอันตรายออกมา การไอช่วยขจัดสารระคายเคืองที่เป็นอันตรายที่อาจทําให้คุณป่วยหรือทําให้หายใจลําบาก เมื่อป่วย การไอยังช่วยกำจัดเมือกและสารคัดหลั่งอื่น ๆ ออกจากร่างกายเพื่อช่วยทำความสะอาดทางเดินหายใจให้หายใจได้ง่ายขึ้นและรักษาโรคให้หายเร็วขึ้น การไอมักจะแย่ลงในเวลากลางคืนเพราะเมือกจะสะสมในลําคอตอนที่นอนลง ซึ่งจะทำให้ยิ่งไอมากขึ้น

บางครั้งลักษณะของอาการไออาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงสาเหตุของโรคได้

อาการไอมีเสมหะเป็นการไอที่ดีเพราะจะช่วยขับเมือกหรือเสมหะออกมา ซึ่งอาจรู้สึกเหมือนมีบางอย่างติดอยู่ในทรวงอกหรือในลําคอ บางครั้ง อาการไอแบบมีเสหมะจะนําเมือกต่าง ๆ ออกมาด้วย อาการไอแบบมีเสมหะบ่งชี้ว่าร่างกายผลิตเมือกมากกว่าปกติ

สาเหตุของอาการไอแบบมีเสมหะ

อาการไอแบบมีเสมหะส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากการติดเชื้อจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรียหรือไวรัสที่ทําให้เกิดหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทำให้ระบบทางเดินหายใจอาจเต็มไปด้วยเมือก เมือกทําหน้าที่ที่เป็นประโยชน์มาก เช่น ช่วยให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นและปกป้องปอดจากการระคายเคือง เมื่อร่างกายต้องต่อสู้กับการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ร่างกายจะผลิตเมือกมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อช่วยดักและขับไล่จุลินทรีย์ที่ทําให้เกิดการติดเชื้อ การไอช่วยให้คุณกําจัดเมือกส่วนเกินในปอดและช่องอกได้ ที่จริง มีอีกหลายสาเหตุที่ทําให้ร่างกายผลิตเมือกได้มากกว่าปกติและทำให้เกิดอาการไอ หากอาการไอแบบมีเสมหะเกิดขึ้นนานกว่า 2-3 สัปดาห์อาจเกิดจาก:
  • โรคหลอดลมอักเสบ หลอดลมอักเสบเป็นการอักเสบในหลอดลมที่มีอากาศเข้าไปในปอด โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันมักจะนํามาโดยความหลากหลายของไวรัส หลอดลมอักเสบเรื้อรังเป็นภาวะที่มักเกิดจากการสูบบุหรี่
  • โรคปอดบวม โรคปอดบวมเป็นการติดเชื้อในปอดที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัสนอกจากนี้ยังเป็นภาวะที่มีความรุนแรงตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงอันตรายถึงชีวิต
  • ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เป็นกลุ่มของภาวะที่ทำลายทั้งปอดและท่อที่นำอากาศเข้าสู่ปอด การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  • ซิสติก ไฟโบรซิส โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นภาวะทางพันธุกรรมของระบบทางเดินหายใจที่มักตรวจเจอในเด็กเล็ก ซึ่งทําให้เกิดการผลิตเมือกหนาเหนียวในปอดและอวัยวะอื่น ๆ
  • โรคหอบหืด คนที่เป็นโรคหอบหืดมักมีอาการไอแห้ง ผู้ป่วยบางรายมักผลิตเมือกส่วนเกินอย่างต่อเนื่องและพบอาการไอมีเสมหะเรื้อรังได้

ไอมีเสมหะในทารกหรือเด็กวัยหัดเดิน

เด็กที่มีอาการไอเกิดจากการติดเชื้อไวรัส สาเหตุหลักของไอมีเสมหะในทารกหรือเด็กวัยหัดเดินคือโรคหอบหืด สาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีบ่อยที่ทำให้เกิดอาการไอแบบมีเสมหะในเด็ก เช่น:
  • มีอาการไอกรนจนทำให้เกิดอาการไอรุนแรงและหนักมาก ผู้ป่วยเด็กจะมีเสียงวู๊ปในขณะหายใจ
  • อาการไอในเด็กบางครั้งเกิดจากการสูดดมสิ่งแปลกปลอม ควันบุหรี่หรือสารระคายเคืองรอบ ๆ ตัว
  • โรคปอดบวมเป็นการติดเชื้อในปอดที่อาจเป็นอันตรายในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
Coughing With Phlegm

การวินิจฉัยอาการไอมีเสมหะ

ในการวินิจฉัยอาการไอ แพทย์จะต้องทราบว่าอาการไอเกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้วและมีอาการรุนแรงมากหรือไม่ แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยอาการไอส่วนใหญ่ได้ไม่ยาก หากมีอาการไอเป็นเวลานานหรือรุนแรงหรือมีอาการอื่น ๆ ตามมาด้วย เช่น มีไข้ น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย แพทย์อาจต้องตรวจเพิ่ม ซึ่งได้แก่:
  • การเอ็กซเรย์ทรวงอก
  • การทดสอบสมรรถภาพปอด
  • การตรวจเลือด
  • การตรวจวิเคราะห์เสมหะโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเสมหะ
  • การวัดออกซิเจนในเลือด ช่วยวัดปริมาณของออกซิเจนในเลือด
  • การวิเคราะห์และแปลผลก๊าซในเลือดแดงจะเอาตัวอย่างเลือดจากหลอดเลือดแดงไปตรวจหาปริมาณออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด และเคมีในเลือด
  • การรักษาอาการไอมีเสมหะ
การรักษาอาการไอมีเสมหะขึ้นอยู่กับสาเหตุ สำหรับอาการไอมีเสมหะส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรักษา ไวรัสจะเกิดและออกจากร่างกายตามระยะเวลาและกลไกของร่างกาย โรคที่มีสาเหตุจากแบคทีเรียจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ หากมีปัญหาในการนอนหลับ อาจต้องใช้ยาช่วยลดเสมหะและไอ การวิจัยพบว่า น้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชาก่อนนอนในเด็กเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่ควรลอง ทั้งนี้ น้ำผึ้งดิบไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 เดือนเพราะอาจเสี่ยงในการเกิดโบทูลิซึมได้ จากข้อมูลของสถาบันกุมารเวชศาสตร์อเมริกัน เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปีไม่ควรกินยาที่หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปเพื่อรักษาอาการไอและเป็นหวัด การรักษาอาการไอที่มีเสมหะได้แก่:
  • เครื่องทำความเย็นที่เป็นไอ
  • อะเซตามิโนเฟน (ไทลินอ) หรือไอบูโพรเฟน (แอดวิล) สําหรับอาการปวดเมื่อยตามร่างกายและความรู้สึกไม่สบายหน้าอกจากอาการไอ
  • ยาแก้ไอที่หาได้ตามร้านค้าทั่วไป (สําหรับเด็กโตและผู้ใหญ่)
  • ยาแก้ไอตามใบสั่งแพทย์ (มีหรือไม่มีโคเดอีน – ไม่แนะนําให้ใช้โคเดอีนในยาแก้ไอสําหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี)
  • เครื่องกระตุ้นหลอดลม
  • สเตียรอยด์รักษาอาการไอจากโรคหอบหืด
  • ยาภูมิแพ้
  • ยาปฏิชีวนะใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • อากาศชื้น (เกิดจากความชื้นหรือไอน้ํา)

อาการไอแห้งและอาการไอเปียก

อาการไอแห้งเป็นอาการไอที่ไม่ทำให้เกิดเมือก อาการไอแห้งอาจทำให้เจ็บปวดและควบคุมได้ยาก โดยจะเกิดขึ้นเมื่อระบบทางเดินหายใจเกิดกาอักเสบหรือระคายเคือง แต่ไม่ผลิตเมือกส่วนเกินออกมา อาการไอแห้งเป็นอาการทั่วไปของคนที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ เมื่อเมือกส่วนเกินถูกล้าง ผู้ป่วยอาจยังมีอาการไอแห้งไปอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน สาเหตุอื่น ๆ ของอาการไอแห้ง ได้แก่ :

เมื่อไรที่ต้องพบแพทย์

ปรึกษาแพทย์หากอาการไอเกิดขึ้นนานเกิน 2 สัปดาห์ ให้พบแพทย์ทันทีหากมีปัญหาในการหายใจหรือไอเป็นเลือดหรือสังเกตเห็นสีผิวเขียวช้ำ เมือกที่มีกลิ่นเหม็นอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น พบแพทย์ทันทีหากลูกน้อย: 
  • อายุน้อยกว่า 3 เดือนและมีไข้ 38 องศาหรือสูงกว่านี้
  • อายุน้อยกว่า 2 ปีและมีไข้มากกว่า 38 องศา นานกว่าหนึ่งวัน
  • มีอายุมากกว่า 2 ปี และมีไข้ 38 องศา หรือสูงกว่า 3 วัน
  • มีไข้ 40 องศา
  • หายใจดังเสียงฮืด ๆ โดยไม่มีประวัติโรคหอบหืด
  • ร้องไห้หนักและปลอบไม่ลง
  • หลับไม่ค่อยอยากจะตื่นหรือตื่นยาก
  • มีอาการชัก
  • มีไข้และผื่น

โภชนาการและข้อปฎิบัติเมื่อไอมีเสมหะ

หากคุณมีอาการไอและมีเสมหะ อย่างต่อเนื่อง โภชนาการของคุณสามารถช่วยจัดการอาการโดยรวมของคุณได้ คำแนะนำและข้อควรพิจารณาด้านโภชนาการสำหรับบุคคลที่มีอาการไอมีเสมหะที่มีประสิทธิผลมีดังนี้
  • รักษาความชุ่มชื้น:ดื่มของเหลวปริมาณมาก โดยเฉพาะน้ำ การมีน้ำเพียงพอจะช่วยให้เสมหะบางและขับออกจากทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น ของเหลวอุ่นๆ เช่น ชาสมุนไพรและน้ำซุปสามารถช่วยผ่อนคลายได้
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้ขาดน้ำ:จำกัดหรือหลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ร่างกายขาดน้ำและทำให้การผลิตเสมหะแย่ลง
  • ผสมของเหลวอุ่น:เครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น น้ำร้อนผสมมะนาวและน้ำผึ้งหรือชาขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการไอและช่วยบรรเทาอาการไอได้
  • กินอาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร:รับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยผักผลไม้ เมล็ดธัญพืช โปรตีนไร้มัน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ อาหารเหล่านี้ให้สารอาหารที่จำเป็นซึ่งสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวม
  • วิตามินซี:อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว สตรอเบอร์รี่ และพริกหยวก สามารถเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณและช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของการติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • โปรตีน:รวมแหล่งของโปรตีนไร้ไขมันในอาหารของคุณ เช่น สัตว์ปีก ปลา ถั่ว และเต้าหู้ เนื่องจากโปรตีนมีความสำคัญต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและรักษาระบบภูมิคุ้มกัน
  • กรดไขมันโอเมก้า 3:อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาที่มีไขมัน (ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน) เมล็ดแฟลกซ์ และวอลนัท มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่สามารถช่วยลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจได้
  • อาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ:สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในอาหาร เช่น เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม และถั่วสามารถช่วยต่อสู้กับความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและการอักเสบในทางเดินหายใจ
  • น้ำผึ้ง:น้ำผึ้งเป็นยาระงับอาการไอตามธรรมชาติและสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ เพิ่มลงในชาอุ่น ๆ หรือเพียงแค่ดื่มน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชา
  • เครื่องเทศ:เครื่องเทศ เช่น ขิงและขมิ้น มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และสามารถเพิ่มลงในอาหารหรือชงเป็นชาเพื่อบรรเทาอาการได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้น:หากอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดทำให้อาการไอของคุณรุนแรงขึ้นหรือทำให้การผลิตเสมหะแย่ลง (เช่น ผลิตภัณฑ์นมสำหรับบางคน) ให้ลองจำกัดหรือหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น
  • มื้อเล็กๆ และบ่อยครั้ง:การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ และบ่อยขึ้นสามารถช่วยป้องกันการกินมากเกินไป และลดโอกาสที่จะเกิดกรดไหลย้อน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการไอได้
  • กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ:การกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและลดอาการระคายเคืองในคอได้
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และควันบุหรี่มือสอง:หากคุณสูบบุหรี่ การเลิกบุหรี่เป็นขั้นตอนที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจของคุณ หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่มือสองด้วย
  • ปรึกษาผู้ให้บริการด้านสุขภาพ:หากอาการไอที่มีเสมหะยังคงอยู่หรือเกี่ยวข้องกับอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ปรึกษาผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม
โปรดทราบว่าโภชนาการเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการจัดการกับอาการไอที่มีเสมหะ การพักผ่อนที่เพียงพอ การให้น้ำอย่างเหมาะสม และการปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพก็มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวเช่นกัน หากคุณมีข้อจำกัดด้านอาหารโดยเฉพาะหรือสภาวะทางการแพทย์ โปรดปรึกษานักโภชนาการหรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่ลงทะเบียนเพื่อขอคำแนะนำด้านอาหารเฉพาะบุคคล

สรุป

อาการไอมีเสมหะมักเกิดจากการติดเชื้อเล็กน้อย หากอาการไอเกิดขึ้นเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นให้พบแพทย์ทันที นอกจากนี้ ยังอาจเกิดสาเหตุที่ร้ายแรงกว่านั้นได้ การรักษาอาการไอให้มีประสิทธิภาพแพทย์จะดูที่สาเหตุเป็นหลัก โดยอาการไอส่วนใหญ่มักเกิดจากไวรัส โดยผู้ป่วยจะหายเองได้ แต่หากไอมีเสมหะ มีไข้ ควรได้รับยาปฎิชีวินะจากแพทย์

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.medicalnewstoday.com/articles/321134
  • https://www.webmd.com/lung/mucus-in-chest-overview
  • https://health.clevelandclinic.org/mucus-and-phlegm-what-to-do-if-you-have-too-much/
  • https://www.asthma.org.uk/advice/understanding-asthma/symptoms/phlegm-mucus-and-asthma/
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด