โรคหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) : อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคหลอดลมโป่งพองคืออะไร

หลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis) เป็นภาวะที่พื้นที่ของหลอดลมปอดได้รับความเสียหายกว้างขึ้น และหนาตัวขึ้นอย่างถาวร

การที่หลอดลมเกิดความเสียหาย คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและเมือกขึ้นภายในปอด ซึ่งจะมีผลต่อการติดเชื้อและการอุดตันของทางเดินหายใจ

ปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถรักษาโรคหลอดลมโป่งพองให้หายขาดได้ แต่การเยียวยารักษาทำให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้

อย่างไรก็ตาม ความเสียหายของถุงลมนี้ควรต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับปอดและเพื่อให้การไหลเวียนของออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายยังสามารถเกิดขึ้นได้

สาเหตุของหลอดลมโป่งพองเกิดจากอะไร

หลอดลมโป่งพองการอาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บที่ปอด ซึ่งในภาวะเช่นนี้มี 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

ประเภทที่ 1 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับ Cystic fibrosis (CF) หรือที่รู้จักในชื่อ CF bronehiectasis ซึ่ง CF เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดการสร้างเมือกที่ผิดปกติ

ประเภทที่ 2 ประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับ CF ถือเป็นภาวะที่พบบ่อยที่สุดที่นำไปสู่การเป็นโรคหลอดลมโป่งพอง ได้แก่

CF จะมีผลกระทบต่อปอดและอวัยวะอื่น ๆ เช่น ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนในตับและตับอ่อน ส่วนใน และทำให้อวัยวะอื่น ๆ การทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ

Bronchiectasis

อาการของโรคหลอดลมโป่งพอง

โรคหลอดลมโป่งพองจะใช้เวลานานเป็นเดือน หรือหลายเดือน หรือเป็นปีจึงจะแสดงอาการให้เห็น  ซึ่งอาการโดยทั่วไป มีดังนี้

  • ไออย่างต่อเนื่อง ไอเรื้อรังทุกวัน

  • ไอเป็นเลือด

  • เมื่อหายใจจะมีเสียงผิดปกติหรือเสียงดังฮืด ๆ ในอก

  • หายใจหอบถี่

  • เจ็บหน้าอก

  • ไอแบบมีเสมหะมากๆ ทุกวัน

  • น้ำหนักลด

  • อ่อนเพลีย

  • ปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้ามีการขยายตัวออกเหมือนไม้พลองหรือไม้กระบอง

  • ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ

หากมีอาการดังกล่าวมานี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและทำการรักษาทันที

การวินิจฉัยโรคหลอดลมโป่งพอง

การวินิจฉัยโรคหลอดลมอักเสบมักใช้การสแกนเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอก หรือการทำคอมพิวเตอร์สแกนทรวงอก เนื่องจากการเอกซเรย์ทรวงอกไม่ให้รายละเอียดมากพอ

การทำคอมพิวเตอร์สแกนทรวงอก เป็นวิธีการตรวจที่ไม่สร้างความเจ็บปวดและยังสามารถแสดงภาพของทางเดินหายใจและโครงสร้างอื่นในทรวงอกที่ถูกต้องแม่นยำ ทำให้เห็นปัญหาในบริเวณและตำแหน่งที่ปอดเสียหายได้อย่างชัดเจน

หลังจากการทำคอมพิวเตอร์สแกนทรวงอกแล้วพบว่าผู้ป่วยเป็นโรคหลอดลมโป่งพอง  แพทย์ผู้วินิจฉัยจะหาสาเหตุของโรค โดยการซักประวัติ และพอจิจารณาจากผลการตรวจร่างกายของผู้ป่วย

สิ่งสำคัญในการให้การรักษาคือ ต้องรู้สาเหตุที่แท้จริงของโรค เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและป้องกันไม่ให้มีอาการของโรครุนแรงกว่าเดิม ซึ่งมีหลายสาเหตุที่เป็นตัวกระตุ้นหรือเป็นสาเหตุของโรคหลอดลมโป่งพอง

การประเมินสาเหตุของโรค ส่วนใหญ่ประกอบด้วยการทดสอบในห้องปฏิบัติการและการทดสอบทางจุลชีววิทยา รวมถึงทดสอบการทำงานของปอดด้วย

การประเมินในเบื้องต้น อาจทำดังนี้

  • การตรวจนับเม็ดเลือด และแยกกลุ่มด้วยลักษณะที่แตกต่างกันของเม็ดเลือด

  • ตรวจสอบปริมาณอิมมูโนโกลบูลินชนิดต่างๆ (IgG, IgM, and IgA)

  • การเพาะเชื้อเสมหะเพื่อตรวจหาแบคทีเรีย ไมโครแบคทีเรีย และเชื้อรา

หากแพทย์สงสัยว่ามีภาวะ Cystic fibrosis แพทย์จะสั่งให้ทำการทดสอบคลอไรด์ในเหงื่อ (sweat chloride test) เหงื่อ หรือทำการทดสอบทางพันธุกรรม

ทางเลือกในการรักษาโรคหลอดลมโป่งพอง

การรักษาโรคเฉพาะอย่าง อาจสามารถชะลออาการของโรคหลอดลมโป่งพองได้ ซึ่ง โรคดังกล่าว ได้แก่

  • การติดเชื้อไมโครแบคทีเรีย

  • ภูมิคุ้มกันบางอย่างบกพร่อง

  • โรคปอดเรื้อรัง

  • โรคปอดอักเสบจากการสำลักที่กลับมาเป็นซ้ำ

  • โรคแพ้เชื้อรา

  • อาจจะเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง

โดยทั่วไปแล้วโรคหลอดลมโป่งพองยังไม่สามารถรักษาได้ จะให้การรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น หรือกล่าวได้ว่าเป็นเป็นการควบคุมไม่ให้มีการติดเชื้อและควบคุมสารคัดหลั่งที่เกิดขึ้นให้ได้

นอกจากนี้ยังมีจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับปอดให้น้อยที่สุด วิธีการรักษาโรคหลอดลมโป่งพอง โดยทั่วไปทำโดย

  • การทำให้ทางเดินหายใจโล่ง ด้วยการฝึกหายใจและกายภาพบำบัดหน้าอก

  • การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด n

  • การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันและรักษาการติดเชื้อ (กำลังมีการค้นคว้าเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ ที่เป็นชนิดใช้สูดดม)

  • การใช้ยาขยายหลอดลมเพื่อทำให้หายในสะดวก เช่น albuterol (Proventil) และ tiotropium (Spiriva)

  • กินยาลดน้ำมูก

  • กินยาขับเสมหะ เพื่อช่วยให้เสมหะขับออกมาได้ในขณะที่ไอ

  • การบำบัดด้วยออกซิเจน

  • รับวัคซีน เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ

การทำกายภาพบำบัดหน้าอก เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการบำบัดที่สามารถช่วยได้ วิธีการคือ สวมเสื้อกั๊กที่สั่นด้วยความถี่สูงเพื่อช่วยล้างเมือกในปอด เสื้อกั๊กจะบีบอัดและคลายหน้าอกของผู้สวมใส่เบา ๆ ทำให้เกิดผลเช่นเดียวกับอาการไอ ซึ่งจะทำให้ขับเมือกออกจากผนังของหลอดลม

หากมีเลือดออกในปอด หรือหลอดลมโป่งพองมีอยู่เพียงส่วนเดียวของปอด อาจต้องทำการผ่าตัดเพื่อกำจัดส่วนนั้นออกไป

 ได้แก่ การระบายสารคัดหลั่งในหลอดลมโดย ใช้แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นตัวช่วย เป็นอีกส่วนหนึ่งของการรักษาในแต่ละวัน ซึ่งนักบำบัดโรคระบบทางเดินหายใจสามารถสอนเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยขับเมือกส่วนเกินออกมาได้ด้วยการไอ

หากมีภาวะอื่นที่ทำให้เกิดโรคหลอดลมโป่งพอง เช่น ความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน หรือปอดอุดตันเรื้อรัง แพทย์ผู้ทำให้รักษาจะทำการรักษาภาวะเหล่านั้นควบคู่ไปด้วย

โรคหลอดลมโป่งพองสามารถป้องกันได้หรือไม่?

ประมาณ 50% ของโรคหลอดลมโป่งพองที่ไม่ใช่เกิดจาก Cystic Fibrosis ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคได้

นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ อากาศเสีย ควันจากอาหาร และสารเคมี ที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่มีผลต่อปอด สามารถช่วยปกป้องปอดและรักษาสุขภาพปอดได้

ผู้ปกครองและเด็ก ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัด ไอกรน และโรคหัด เนื่องจากโรคเหล่านี้จะมีผลต่อต่อการเกิดโรคเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่

เนื่องจากบ่อยครั้งที่เราไม่ทราบสาเหตุของการก่อโรคที่แท้จริง การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้ผลมากนัก ดังนั้น หากรู้ว่าเป็นโรคนี้ควรรีบทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความเสียหายหนักที่อาจเกิดขึ้นกับปอด จึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญ

ภาวะแทรกซ้อนของหลอดลมโป่งพอง

โรคหลอดลมโป่งพองเป็นภาวะทางเดินหายใจเรื้อรังที่มีลักษณะการขยับขยายและรอยแผลเป็นของทางเดินหายใจในปอดอย่างผิดปกติ ภาวะนี้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้แก่:
  • การติดเชื้อทางเดินหายใจ:บุคคลที่เป็นโรคหลอดลมโป่งพองจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยครั้ง เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดบวม และไซนัสอักเสบ การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้อาการของโรคหลอดลมโป่งพองรุนแรงขึ้นและนำไปสู่ความเสียหายของปอดเพิ่มเติม
  • ไอเป็นเลือด:ไอเป็นเลือดหมายถึงการไอเป็นเลือดและอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่เป็นโรคหลอดลมโป่งพองเนื่องจากหลอดเลือดที่เปราะบางและเสียหายในทางเดินหายใจที่ขยายใหญ่ขึ้น ภาวะไอเป็นเลือดอย่างรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้และต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ทันที
  • การทำงานของปอดลดลง:เมื่อเวลาผ่านไป โรคหลอดลมโป่งพองอาจทำให้การทำงานของปอดลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ความจุปอดลดลง ความอดทนในการออกกำลังกายลดลง และหายใจลำบาก
  • อาการระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง:ผู้ที่เป็นโรคหลอดลมโป่งพองมักมีอาการทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หายใจมีเสียงหวีด และหายใจไม่สะดวก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิต
  • ภาวะทุพโภชนาการ:การติดเชื้อในปอดเรื้อรังและความยากลำบากในการล้างเสมหะออกจากทางเดินหายใจอาจทำให้น้ำหนักลดลงและภาวะทุพโภชนาการในผู้ที่เป็นโรคหลอดลมโป่งพอง
  • การกำเริบของโรคหลอดลมโป่งพอง:การกำเริบของโรคหลอดลมโป่งพองเป็นระยะ ๆ อาจเกิดขึ้นได้ซึ่งอาการจะแย่ลงอย่างกะทันหัน อาการกำเริบเหล่านี้อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ
  • ภาวะแทรกซ้อนในปอด:เมื่อเวลาผ่านไป โรคหลอดลมโป่งพองสามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในปอด เช่น ฝีในปอด เยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือปอดบวม (ปอดยุบ)
  • คุณภาพชีวิตที่ลดลง:เนื่องจากธรรมชาติของโรคหลอดลมโป่งพองเรื้อรังและอาการที่เกี่ยวข้อง บุคคลที่มีอาการนี้อาจพบกับคุณภาพชีวิตที่ลดลง รวมถึงข้อจำกัดในการทำกิจกรรมประจำวัน ความเหนื่อยล้าที่เพิ่มขึ้น และการแยกตัวออกจากสังคม
ผู้ที่เป็นโรคหลอดลมโป่งพองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อจัดการกับอาการของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจต้องใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ เทคนิคการระบายอากาศในทางเดินหายใจ การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด และการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การแทรกแซงตั้งแต่เนิ่นๆ และการจัดการที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดลมโป่งพองได้ สร้างใหม่

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

  • https://www.nhs.uk/conditions/bronchiectasis/

  • https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21144-bronchiectasis

  • https://www.nhlbi.nih.gov/health-topics/bronchiectasis

  • https://www.webmd.com/lung/what-is-bronchiectasis


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด