ตาบอด (Blindness) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Wikanda Rattanaphan
0
ตาบอด

อาการทั่วไปของโรคตาบอด

โรคตาบอด หรือ (Blindness) คือ ภาวะความผิดปกติของดวงตาที่ไม่สามารถมองไม่เห็นภาพทุกอย่างได้เป็นปกติ รวมถึงแสงสว่างด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความพิการทางสายตาที่ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนกับคนปกติทั่วไปได้ หากคุณมีอาการตาบอดในบางส่วน คุณสามารถมองเห็นได้อย่างจำกัด เช่น คุณอาจมองเห็นวัตถุไม่ชัดหรือคุณมองเห็นวัตถุแล้วแต่ไม่สามารถแยกแยะรูปทรงของวัตถุได้ สำหรับอาการตาบอดสนิทนั้นหมายถึงคุณจะไม่สามารถมองเห็นได้อีกเลย ถือว่าเป็นผู้พิการทางสายตาได้ทันที อาการตาบอดตามกฏหมายหมายถึงการมองไม่เห็นที่รุนแรงมาก ซึ่งโดยปกติแล้วบุคคลทั่วไปสามารถมองเห็นตามปกติได้ที่ 200 ฟุต แต่คนตาบอดตามกฏหมายนั้นสามารถมองเห็นได้แค่เพียง 20 ฟุตเท่านั้นเอง หากคุณสูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที ซึ่งจะมีคนพาคุณไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อทำการรักษา อย่ารอให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติ เพราะถ้ารอนานเกินไป คุณอาจจะตาบอดไปเลยก็ได้ การรักษาอาการตาบอดขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำใหคุณเกิดอาการตาบอด ซึ่งอาจเป็นโอกาสที่ทำให้มีโอกาสการกลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมมีมากขึ้น การรักษาอาการตาบอดสามารถทำได้โดยการผ่าตัดหรือรักษาด้วยการใช้ยา

อาการตาบอด

หากคุณมีอาการตาบอดสนิทแล้ว คุณจะไม่เห็นอะไรเลย ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคุณได้ แต่หากคุณตาบอดแค่บางส่วน คุณอาจมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ 
  • การมองเห็นที่พล่ามัว
  • ไม่สามารถแยกแยะรูปทรงของวัตถุได้
  • มองเห็นแค่เงาเท่านั้น
  • มองเห็นในเวลากลางคืนไม่ดี
  • มองเห็นแค่ด้านข้าง

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาบอด

ปัญหาของโรคที่เกิดขึ้นกับดวงตาเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาบอดได้ เช่น
  • โรคต้อหิน หมายถึงอาการความดันสูงภายในตา ที่สูงเกินไปจนเกิดการกดทับเส้นประสาทตาของคุณ ซึ่งขัดขวางการทำหน้าที่ส่งข้อมูลจากตาไปยังสมองจึงทำให้มองไม่ชัด
  • โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่สามารถทำลายดวงตาส่วนหนึ่งได้ ซึ่งทำให้ตาของคุณนั้นเกิดการมองไม่เห็นส่วนมากอาการนี้มักเกิดกับผู้สูงอายุ
  • โรคต้อกระจก เกิดจากการมองเห็นที่พล่ามัวสามารถพบได้ในผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน
  • อาการสายตาขี้เกียจ สามารถทำให้เกิดการมองเห็นได้ยากมากขึ้นซึ่งนำมาสู่การสูญเสียการมองเห็น
  • โรคเส้นประสาทตาอักเสบเป็นอาการอักเสบที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นชั่วคราวหรือถาวรได้
  • โรคประสาทตาเสื่อม คือการที่จอประสาทตาถูกทำลาย ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้ในบางกรณีเท่านั้น
  • เนื้องอกในตาทำให้จอประสาทตาและเส้นประสาทตานั้นเกิดความเสียหาย อาจนำไปสู่โรคตาบอดได้
นอกจากนี้อาการตาบอดเป็นภาวะแทรกซ้อนมาจากการเป็นโรคเบาหวานหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่ให้คุณตาบอดได้ เช่น:
  • ความพิการมาแต่กำเนิด
  • อาการบาดเจ็บที่ตา
  • ภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดที่ตา

ประเภทของตาบอด

  • ตาบอดบางส่วน : คุณยังมีการมองเห็นอยู่บ้าง ผู้คนมักเรียกสิ่งนี้ว่า ” สายตาเลือนราง “
  • ตาบอดสนิท : คุณไม่สามารถมองเห็นหรือตรวจจับแสงได้ สภาพนี้หายากมาก
  • ตาบอดแต่กำเนิด : นี่หมายถึงการมองเห็นที่ไม่ดีที่คุณมีมาแต่กำเนิด สาเหตุรวมถึงสภาพตาและจอประสาทตาที่สืบทอดมาและความพิการแต่กำเนิดที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตาบอดตามกฎหมาย : นี่คือเมื่อการมองเห็นส่วนกลางอยู่ที่ 20/200 ในดวงตาที่มองเห็นได้ดีที่สุดของคุณ แม้ว่าจะแก้ไขด้วยแก้วหรือคอนแทคเลนส์ก็ตาม การมีวิสัยทัศน์ 20/200 หมายความว่าคุณต้องเข้าใกล้ 10 เท่า หรือวัตถุต้องใหญ่ขึ้น 10 เท่าจึงจะมองเห็นได้เมื่อเทียบกับคนที่มีการมองเห็น 20/20 นอกจากนี้ คุณอาจตาบอดได้หากขอบเขตการมองเห็นหรือการมองเห็นรอบข้างลดลงอย่างมาก (น้อยกว่า 20 องศา)
  • โรคตาบอดทางโภชนาการ : คำนี้อธิบายถึงการสูญเสียการมองเห็นจากการขาดวิตามินเอ หากการขาดวิตามินเอยังคงดำเนินต่อไป จะสร้างความเสียหายให้กับผิวด้านหน้าของดวงตา ( xerophthalmia ) อาการตาบอดประเภทนี้ยังทำให้มองเห็นได้ยากขึ้นในเวลากลางคืนหรือในที่มีแสงสลัว เนื่องจากเซลล์เรตินาไม่ทำงานเช่นกัน
คุณอาจสงสัยเกี่ยวกับอาการตาบอดสีซึ่งไม่ใช่อาการตาบอดตามความหมายดั้งเดิม ชื่ออื่นสำหรับปัญหานี้คือการขาดสี คุณรับรู้สีด้วยวิธีที่ต่างออกไป คุณสามารถสืบทอดสภาพนี้หรือได้รับจากโรคหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นในเรตินาหรือเส้นประสาทตาของคุณ หากคุณมองเห็นแต่สีดำ สีขาว หรือเฉดสีเทา แสดงว่าคุณมีภาวะสีซีดจาง คุณอาจได้ยินเกี่ยวกับอาการตาบอดที่ป้องกันได้หรืออาการตาบอดที่หลีกเลี่ยงได้ คำเหล่านี้หมายถึงการตาบอดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีโรคที่สามารถรักษาได้ แต่พวกเขาไม่เคยได้รับการดูแล สิ่งนี้มักเกิดขึ้นเนื่องจากการไม่สามารถเข้าถึงการดูแลดวงตาหรือการดูแลสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่ไม่เคยได้ รับการดูแลเบาหวานอาจเกิดภาวะจอประสาทตาที่เกี่ยวข้องกับเบาหวาน ผู้ที่ไม่ได้รับการดูแลเรื่องความดันโลหิตสูงอาจเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขึ้น

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงจะตาบอด

บุคคลดังต่อไปนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตาบอดได้ 
  • คนที่เป็นโรคตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม และ โรคต้อหิน
  • คนที่เป็นโรคเบาหวาน
  • คนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • คนที่เข้ารับการผ่าตัดตา
  • คนที่ทำงานที่ต้องดูงานหรือวัตถุใกล้สายตาหรืองานที่เกี่ยวกับสารเคมีที่เป็นพิษ
  • ทารกที่คลอดก่อนกำหนด

การรักษาอาการตาบอด

สำหรับผู้ที่มีอาการตาบอดสามารถใช้วิธีเหล่านี้ในการรักษาอาการตาบอดเพื่อทำให้คุณสามารถกลับมามองเห็นได้เป็นปกติอีกครั้ง 
  • การสวมใส่แว่นตา
  • การใส่คอนแทคเลนส์
  • การผ่าตัดตา
  • การใช้ยา
หากคุณมีอาการตาบอดแค่บางส่วนและไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการใดได้เลย แพทย์จะแนะนำวิธีการใช้ชีวิตอย่างไรกับการมองเห็นที่จำกัดแบบนี้ เช่นการใช้แว่นขยายในการอ่านหนังสือหรือทำให้ตัวหนังสือในคอมพิวเตอร์ให้ใหญ่ขึ้นและตั้งนาฬิกาเสียงและฟังหนังสือเสียง ส่วนการตาบอดสนิทนั้นต้องเริ่มต้นการใช้ชีวิตแบบใหม่ทั้งหมดและเรียนรู้ทักษะความสามารถใหม่ด้วยตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเรียนรู้เกี่ยวกับ 
  • การอ่านตัวอักษรเบรลล์
  • การใช้สุนัขนำทาง
  • การจัดระเบียบภายในบ้านที่ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตหรือหยิบจับหรือค้นหาสิ่งของได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • การพับเงินด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยทำให้สามารถแยกแยะจำนวนเงินที่เก็บได้
นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้อุปกรณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตได้ เช่น โทรศัพท์ที่มีความสามารถพิเศษในการใช้งานสำหรับผู้พิการทางสายตาโดยเฉพาะการระบุสีบนอุปกรณ์ที่ใช้ประจำและการใช้อุปกรณ์เครื่องครัวที่สะดวกหรือแม้กระทั่งการเล่นกีฬาก็สามารถนำมาปรับเปลี่ยนได้ เช่น ลูกฟุตบอล

ระยะเวลาของการรักษาอาการตาบอด

การรักษาอาการตาบอดในระยะยาวเพื่อทำให้อาการตาบอดนั้นหายไปอย่างถาวรเป็นการรักษาที่ดีกว่าการรักษาโดยการป้องกันและทำให้สามารถหาสาเหตุที่ทำให้เกิดตาบอดได้ทันที การผ่าตัดโรคต้อกระจกที่ตาสามารถรักษาโรคต้อกระจกได้อย่างมีประสิทธภาพที่สุด ซึ่งไม่ส่งผลทำให้เกิดการตาบอด การวินิจฉัยและรักษาอาการตั้งแต่เนิ่นนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับคนตาบอดที่มาจากโรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อหิน ซึ่งช่วยให้ชะลออาการหรือทำให้การมองเห็นนั้นดีขึ้น

การป้องกันการตาบอด

การตรวจโรคตานั้นเพื่อหาโรคตาและช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็น ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ และหากว่าคุณได้รับการวินิจฉัยโรคตาบางอย่าง เช่น โรคต้อหิน การรักษาด้วยการใช้ยา ก็สามารถป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ การป้องกันการสูญเสียการมองเห็นจากสมาคมนักทัศนมาตรศาสตร์อเมริกา แนะนำให้ลูกของคุณนั้นได้รับการตรวจวัดสายตาตั้งแต่อายุ
  • อายุ 6 เดือน
  • อายุ 3 ปี
  • ทุกปีจนถึงอายุ 6 ปี และ อายุ 17 ปี
หากคุณสังเกตว่าเด็กมีอาการสูญเสียการมองเห็นระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน ควรทำการนัดพบจักษุแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาโดยทันที

สถิติคนตาบอดในประเทศไทย

สถิตินี้มาจากหัวข้อเรื่อง สถานการณ์ของคนตาบอดในประเทศไทยในปี 2558 ซึ่งมีการวิจัยดังนี้ จากสถิติข้อมูลคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการทั่วประเทศ ทั้งหมด 1,918,867 ราย ซึ่งมีจำนวนคนพิการทางการเห็น 181,821 ราย แบ่งเป็น ชายจำนวน 87,081 ราย และหญิงจำนวน 94,740 ราย โดยยังไม่รวมถึงจำนวนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนไว้ (ข้อมูลวันที่ 2 พ.ย. 2558)

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

  • https://medlineplus.gov/ency/article/003040.htm
  • https://www.medicinenet.com/blindness/index.htm
  • https://kidshealth.org/en/kids/visual-impaired.html

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด